เผลอแป๊บเดียวจากภาพยนตร์แจ้งเกิดเรื่อง “รักแห่งสยาม” ทำให้ชื่อของ เบสท์-ชนิดาภา พงศ์ศิลป์พิพัฒน์ โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมาถึง 15 ปี ด้วยผลงานต่าง ๆ ที่ผ่านสายตาผู้ชมมามากมาย บอกเลยว่ากว่าจะถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เธอเคยเจอวิกฤติถึงขั้นทำให้คิดอยากถอดใจหันหลังให้วงการ คอลัมน์ “ดาวต่างมุม” สัปดาห์นี้เลยไม่พลาด ขอเปิดใจ “เบสท์” แบบเอ็กซ์คลูซีฟถึงแง่มุมต่าง ๆ ในชีวิต รวมไปถึงเรื่องราวของความรักในวัยที่เติบโตมากขึ้นของผู้หญิงคนนี้

อัพเดทผลงานของเบสท์?

“ละครเรื่อง “ปมเสน่หา” เพิ่งจบไป ตอนนี้มีละครเรื่อง “รตีลวง” ที่กำลังออนแอร์อยู่ทางช่อง 3 ส่วนเรื่อง “ภูตแม่น้ำโขง” ปิดกล้องเรียบร้อยแล้วค่ะ กำลังรอออกอากาศอยู่ เป็นเรื่องแรกของเบสท์เลยที่ต้องพูดภาษาอีสานทั้งเรื่อง เป็นพีเรียดย้อนยุคไปช่วงปี 2510 ในช่วงที่พ่อแม่ของเรายังเป็นวัยรุ่นอยู่ ต้องนุ่งผ้าถุง เป็นลูกสาวกำนัน ชอบผู้ชายทุกคนที่อยู่นอกหมู่บ้าน (หัวเราะ) พระเอกมาจากกรุงเทพฯ ก็ชอบ แม้กระทั่งหมอผีที่มาปราบผีก็ชอบ เป็นตัวละครที่สร้างสีสัน คนดูแล้วต้องอมยิ้มแน่นอน แล้วล่าสุดก็เพิ่งเปิดกล้องละคร “พยัคฆ์ร้ายซ่อนลาย” และ “รักสุดใจยัยตัวแสบ” ไปด้วยค่ะ”

หวนสู่จอเงินในรอบ 15 ปี?

“เบสท์เข้าวงการมาตั้งแต่ปี 2550 จากภาพยนตร์เรื่อง “รักแห่งสยาม” ถ้านับถึงตอนนี้ก็ 15 ปีแล้วที่อยู่ในวงการบันเทิง ถ้าบอกเป็นช่วงปีอาจจะเหมือนนาน แต่จริง ๆ เบสท์ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองอยู่มานานขนาดนั้น เพราะเราได้ทำอะไรใหม่ ๆ และบทบาทที่ท้าทายมาตลอด ในปีนี้จะมีภาพยนตร์ด้วย เรียกว่าหวนกลับสู่จอเงินอีกครั้งในรอบ 15 ปีเลย เป็นโปรเจคท์หนังสยองขวัญ เรื่อง “100” เรื่องราวเข้ากับสถานการณ์โควิด-19 เลย ที่กลับมาจากต่างประเทศแล้วต้องกักตัวในโรงแรมแห่งนี้ มีกำหนดฉายในปีนี้ค่ะเบสท์ตื่นเต้นและค่อนข้างคาดหวังเหมือนกันว่าหลาย ๆ คนน่าจะชื่นชอบ อยากให้ทุกคนเป็นกำลังใจทีมหนังไทย เพราะเขาจะทำเป็นจักรวาลมอนสเตอร์ ให้เทียบเท่าต่างชาติเลย”

รีวิว 15 ปีในวงการของเบสท์หน่อย?

“เราไม่คิดว่าจะได้เป็นนักแสดงจนถึงทุกวันนี้ โชคดีที่มีผู้ใหญ่เมตตา และให้โอกาสเราเสมอ ถ้าย้อนกลับไปก่อนจะเข้าวงการ เบสท์ไม่เคยคิดว่าเราจะเป็นนักแสดงเลย เพราะเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าแสดงออก คุณแม่เลยพยายามผลักดันไม่ว่าจะงานเต้น งานโชว์ งานรำ ก็พยายามให้ร่วมกิจกรรม ก็ต้องขอบคุณคุณแม่ที่ทำให้เราปลดล็อกตัวเองในวันนั้น และด้วยจังหวะที่เราเข้าวงการมาแบบไม่ได้ตั้งใจ ไปเรียนพิเศษที่สยาม แล้วเดินผ่านเวทีประกวดสาวผิวสวย แล้วตอนนั้นเบสท์สายตาสั้น ดัดฟัน อวบ ๆ แล้วคนที่จัดงานเขาเห็นเราก็ชวนเราขึ้นเวทีประกวด ไป ๆ มา ๆ ดันชนะ แล้ววันรุ่งขึ้นก็ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ผลิตภัณฑ์อาบน้ำสำหรับเด็ก และได้ไปถ่ายนิตยสารต่าง ๆ จนกระทั่งพี่ มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ตามหาตัวละครที่ชื่อ “โดนัท” ในรักแห่งสยามอยู่ เห็นรูปจากนิตยสารเลยเรียกมาแคสติ้ง เลยเป็นจุดเริ่มต้นของงานแสดงในวงการ”

ชีวิตเปลี่ยนไปค่อนข้างกะทันหัน ปรับตัวทันไหม?

“เรียกว่าเป็นช่วงวิกฤติของชีวิตเลยนะคะ เพราะโรงเรียนที่เบสท์เรียนไม่อนุญาตให้เราเป็นนักแสดง เลยถูกจำหน่ายออกไปในช่วง ม.4 และช่วง ม.5-ม.6 ต้องไปหาที่เรียนใหม่ เป็นช่วงที่ค่อนข้างเครียดและลำบากใจ แต่เบสท์คิดว่าถ้าตอนนั้นเราดันทุรังอยู่โรงเรียนเดิมก็อาจจะพลาดโอกาสที่เรามีทุกวันนี้อาจเป็นโชคชะตาของชีวิตที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ส่วนละครเรื่องแรก “ความรักของซูเปอร์สตาร์” ตอนนั้นฟีดแบ็กไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะเป็นการแสดงเต็มตัวเรื่องแรก ซึ่งเรายังไม่มีประสบการณ์ ไม่ได้เรียนแอคติ้งมาก่อน ปัญหาเลยเกิดตรงที่ว่าบทที่ได้รับค่อนข้างยากและไกลตัวมาก ต้องท้องกับพระเอก ชีวิตรันทด ต้องร้องไห้แทบทุกฉาก แล้วแต่ละคนที่เราเล่นด้วยคือ พี่มอส-ปฏิภาณ, พี่บี-น้ำทิพย์, พี่กัปตัน-ภูธเนศ, อาเปี๊ยก-พิศาล ฯลฯ เราเลยมีความกดดันเยอะ เหมือนเป็นหลุมดำ รับส่งอารมณ์ได้ไม่เต็มที่ เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการแสดงที่อาจจะไม่ดีเท่าไหร่ในช่วงแรก กระทู้ในพันทิปก็จะมีคนพูดถึงเราว่า หน้าตาโอเคนะ หน้าตาน่ารักนะ แต่ฝีมือการแสดงยังไม่ได้, ยังเล่นแข็ง เล่นไม่เป็นธรรมชาติ ฯลฯ หลังจากนั้นเบสท์ก็หายไปหนึ่งปี ไปเรียนการแสดงเอง พยายามที่จะพิสูจน์ตัวเอง และกลับมาแคสติ้งละครเรื่องใหม่ จนการแสดงออกมาต่างจากเรื่องแรกแบบหน้ามือกับหลังมือเลย จากนั้นก็จะได้เล่นบทบาทที่แตกต่างกันไปเรื่อย ๆ แล้วก็ได้มาร่วมงานและเซ็นสัญญากับช่อง 3 จนถึงตอนนี้”

มีช่วงคิดจะถอดใจไหม?

“มีค่ะ พอเราถูกคนวิพากษ์วิจารณ์ก็เครียดเหมือนกัน และถูกกดดันจากทางผู้ใหญ่ด้วย ว่าเขาให้โอกาสเราแล้ว ทำไมไม่ทำให้ดีที่สุด ในมุมมองของเราที่อายุ 18 ปี ตอนนั้น ก็คิดว่าเราทำเต็มที่แล้ว แต่อาจจะไม่ดีสำหรับเขา เลยรู้สึกท้อ และยังคุยกับคุณพ่อคุณแม่ว่าหรือเราไม่เหมาะกับการเป็นนักแสดง ไม่ทำตรงนี้ดีกว่าไหม แต่ทางบ้านก็ให้กำลังใจว่ามาแล้วก็มาให้สุดทาง ให้ลองอีกสักตั้งหนึ่ง ไม่เป็นไรนะ ใครที่ว่าเรา ตำหนิเรา เราต้องพิสูจน์ฝีมือให้เห็นว่าเราก็ทำได้ ก็เลยฮึดสู้ ควักเงินตัวเองไปเรียนการแสดง และก็พยายามเรียนรู้อยู่เสมอ”

มองอนาคตตัวเองกับวงการบันเทิงยังไง?

“เบสท์ทำงานมา 15 ปี เรารักงานแสดง รักวงการนี้ คงทำต่อไปเรื่อย ๆ บทบาทอาจเปลี่ยนไปตามวัยและอายุ ถ้าวันหนึ่งเราต้องเล่นเป็นแม่ ป้า หรือคุณย่าก็ไม่ติด คงอยู่ในวงการนี้ต่อไป จนไม่มีโอกาสได้ทำ แต่ระหว่างทางเราก็มีทำธุรกิจอย่างอื่นด้วย มีร้านอาหาร Marumomo Ramen (มารุโมโมะ ราเมน) ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ เปิดมา 8 ปีแล้ว แล้วก็มีอาชีพใหม่ที่เกิดขึ้นช่วงโควิด-19 ทำให้เราค้นพบสกิลบางอย่างของตัวเอง เริ่มต้นจากการปั้นบัวลอย ขายดีมาก วันหนึ่งปั้นเป็นหมื่น ๆ เม็ด จนช่วงหลัง ๆ เบสท์มาทำขนมเค้ก โชคดีที่ทำครั้งแรกแล้วสำเร็จ ทุกคนก็บอกว่าอร่อย เลยมีกำลังใจ เลยพยายามออกเมนูใหม่มาเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นการท้าทายตัวเองด้วย สั่งได้ทาง @das.beste.bkk ได้เลยค่ะ เบสท์ทำเอง รับออร์เดอร์เอง”

อัพเดทเรื่องหัวใจของเบสท์บ้าง?

“จริง ๆ เราผ่านประสบการณ์ที่ผิดหวัง และเสียใจกับความรักมาเยอะมาก โดนคนหลอกก็เยอะ คนไม่จริงใจก็เยอะ คนมีแฟนอยู่แล้วมาจีบก็เยอะมากมาก บางทีเราเป็นมือที่ 3 โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เพราะผู้ชายโกหกว่าเขาโสด ไม่มีแฟน ทั้งที่จริง ๆ เขายังรักกันดีอยู่ แล้วมาจีบเรา กลายเป็นว่าเราไปแย่งเขา ซึ่งกลายเป็นว่าเรารู้สึกแย่มาก ๆ และเข็ดกับความรักที่ไม่จริงใจ พอเราอายุขึ้นเลข 3 ปุ๊บก็เลยเรียนรู้ว่า การที่จะคบใครสักคนหนึ่งต้องใช้เวลา เรารีบแต่ไม่เร่งตัวเอง ใจก็อยากแต่งงาน มีครอบครัว แต่ถ้าโชคชะตาหรือจังหวะชีวิตเราจะไม่มี ก็คงอยู่เป็นโสด ไม่แต่งงาน เพราะเบสท์คิดเสมอว่า ถ้าจะมีใครสักคนเข้ามาชีวิต ต้องมาเติมเต็มให้เรามีความสุข การมีแฟนต้องส่งเสริมกันไปในทิศทางที่ดี และไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน หลาย ๆ ครั้งในสื่อ ในโซเชียลฯ หรือ อินสตาแกรมตัวเอง เบสท์ก็จะไม่มีเรื่องนี้เลยเพราะเบสท์อยากให้มั่นใจ อยากให้ชัวร์ก่อน ค่อยเปิดตัว ข่าวสุดท้ายที่เบสท์เลิกกับแฟนคนเก่าน่าจะ 5 ปีที่แล้ว ก็ไม่มีข่าวเปิดตัวว่าคบใครอีกเลย”

เรียกว่ามุมมองเรื่องความรักเปลี่ยนไป?

“ตอนอายุ 20 กว่า ๆ เราคิดว่าตัวเองเป็นคนชัดเจน ไม่อยากปิดบัง เพราะคนชอบบอกว่าดารานักแสดงชอบแอบคบกัน หลบ ๆ ซ่อน ๆ เพราะฉะนั้นเวลาเราคบใครก็อยากเปิดเผย แต่กลายเป็นว่าคบกัน 4 เดือน ไปไม่รอด คบ 7 เดือนไปรอดก็เลิกอีก ทำให้ภาพของเรากลายเป็น รัก ๆ เลิก ๆ ในมุมมองของผู้ใหญ่ก็มองเราไม่ดีว่าทำไมเปลี่ยนแฟนบ่อย พอเราได้บทเรียนจากประสบการณ์ช่วงวัยรุ่น ทำให้เรารู้ว่าบางครั้งการที่เราเปิดเผยอะไรมากเกินไปก็ไม่ดี เพราะมีคนที่พร้อมที่จะหมั้นไส้เรา เหยียบซ้ำเรา หรือดีใจกับเรา ทุกรูปแบบเลย เพราะฉะนั้นเราก็ต้องอยู่ในความพอดี ทุกวันนี้เบสท์ก็ไปไหนมาไหนปกติ ไม่ได้มาหลบ ๆ ซ่อน ๆ เพียงแต่ว่าในโซเชียล เราไม่ได้เปิดให้คนรู้เยอะมากมาย ทุกวันนี้ก็มีคนที่คุยและศึกษากันอยู่ แต่เบสท์อยากให้มั่นใจจริง ๆ จนวันที่เขาถามเราว่า แต่งงานกันไหม? วันนั้นพี่ ๆ สื่ออาจจะได้เห็นว่าที่เจ้าบ่าวของเราว่าคือใคร (ยิ้ม) เพราะรักครั้งใหม่ควรจะเป็นรักครั้งสุดท้ายได้แล้ว”

สุดท้ายให้เบสท์ฝากอะไรถึงแฟน ๆ หน่อย?

“อยากจะขอบคุณที่ติดตามกันมาตั้งแต่ละคร ภาพยนตร์ ปีนี้เป็นปีที่ 15 แล้ว ทุกคนยังเหนียวแน่นมาก น้อง ๆ แฟนคลับบางคนติดตามมาตั้งแต่ ม.ต้น จนตอนนี้ เรียนจบและทำงานแล้ว บางคนมีลูกแล้ว ทุกคนเจริญก้าวหน้าไปในทางที่ดี เขาก็ยังซัพพอร์ตเราอยู่ ยังสนับสนุนเราอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม รวมทั้งแฟนคลับจีนด้วย ซึ่งปกติทุกวันชาติจีน วันที่ 1-7 ต.ค. เราจะมีการมีตติ้งด้วยกันทุกปี แต่ตั้งแต่สถานการณ์โควิด-19 ก็ไม่ได้เจอกันมา 3 ปีแล้ว ตอนนี้อาจจะเจอกันน้อยลง ไม่ได้มีตติ้งแบบสมัยก่อน แต่ทุกคนก็ยังติดตามเราอยู่เสมอ ก็ขอบคุณทุกคนจริง ๆ เบสท์เองก็จะทำทุกผลงานให้ดีที่สุด ไม่ทำให้แฟน ๆ ผิดหวัง”.

นฤมล แซ่แต้ : เรื่อง / พิชญวัฒน์ ปรุงศักดิ์ : ภาพ
ขอบคุณสถานที่ : ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์