ตลอดห้วงเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยในสายตาของต่างชาติถูกจับจ้องมองว่าเป็น “คนป่วยเอเชีย” เนื่องจากไม่สามารถเดินหน้าบริหารจัดการขับเคลื่อนพัฒนาประเทศได้อย่างเต็มที่ตามศักยภาพที่แท้จริง ทั้งนี้เป็น เพราะนักการเมืองขัดแย้งกันอย่างรุนแรงจนนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมือง ในขณะที่ ประชาชนมีความเห็นต่าง ทางการเมืองคนละขั้วตามความเชื่อและความรู้สึกนึกคิดของตน ก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคมอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน มิหนำซ้ำมีความโกรธขึ้งเคียดแค้นชิงชังกันและมีความคิดใช้ความรุนแรงกับผู้ที่เห็นต่างทางการเมือง ประหนึ่งว่าไม่ใช่คนไทยด้วยกัน บ้านเมืองจึงเกิดความโกลาหลวุ่นวายไปทั่วทุกหัวระแหง ไม่มีความสงบสุขดังที่เคยเป็นมาในอดีต ผลที่เกิดขึ้นตามมามีการรัฐประหารถึงสองครั้งสองคราในปี 2549 และปี 2557
การปฏิรูปประเทศไทย ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและความมั่นคง จะเป็นหนทางเปลี่ยนแปลงนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญมั่นคงและประชาชนมีความสงบสุข ทั้งนี้จะ ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจังและจริงใจของทุกภาคส่วนในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักการเมืองจะต้องปฏิรูปตนเองทั้งในด้านแนวความคิดและพฤติการณ์ก่อนใครอื่น อีกทั้งสื่อกระแสหลักจะต้องปฏิรูปตัวเองด้วยการ ทำหน้าที่อย่างมีจรรยาบรรณและมีความรับผิดชอบต่อสังคม
เป็นเรื่องที่น่าเสียดายว่าประเทศไทยมีจุดแข็งในเชิงกายภาพ ไม่ว่าจะเป็นการมีทำเลที่ตั้งซึ่งเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งในอนุภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติที่มีและความหลากหลายทางชีวภาพ การลงทุนระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่พร้อมมูล ฯลฯ รวมถึงศักยภาพด้านการผลิตสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพและมาตรฐานสินค้าสูงระดับครัวโลก อีกทั้งศักยภาพด้านการบริการท่องเที่ยว การบริการทางการแพทย์ ฯลฯ การที่ประเทศไทยใช้ประโยชน์จากจุดแข็งที่มีอยู่อย่างจำกัด ประเทศที่ล้าหลังกว่าสามารถไล่ทันและบางประเทศก็เบียดแซงหน้าไปไกลแล้ว