ในวันที่ทั่วโลกยังไม่มียารักษาจำเพาะต่อโรคโควิด 19 ที่ระบาดหนัก แต่สำหรับประเทศไทยยังมี “ฟ้าทะลายโจร” ที่มีความหวังในการนำมาใช้ดูแลติดเชื้อที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย ผ่อนหนักเป็นเบาได้ และดูเหมือนจะเป็นสมุนไพรที่มีความหวังต่อไปในอนาคตด้วย ดังนั้น “ทีมการเมืองเดลินิวส์” จึงต้องมาสนทนากับ“ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว” หัวหน้าศูนย์หลักฐานเชิงประจักษ์ด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร มาแจกแจงให้ประชาชนได้รับทราบถึงการใช้สมุนไพรในช่วงนี้กัน
โดย “ภญ.ผกากรอง” เปิดฉากเล่าว่า “ฟ้าทะลายโจร” มีการใช้ในประเทศไทยมานาน และมีศึกษาวิจัยพบว่าฟ้าละลายโจรมี สาร “แอนโดรกราฟโฟไรด์” (andrographolide ) และสารอื่นๆ ที่ช่วยบรรเทาอาการหวัด ไข้ ไอ เจ็บคอ ซึ่งถูกบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2542 และส่งเสริมให้ใช้เป็นตัวแรกในการรักษากลุ่มอาการโรคหวัด เพื่อแก้ปัญหาเชื้อดื้อยา ปัจจุบันใช้มากเป็นอันดับ 2 รองจากขมิ้นชัน
@ การใช้ฟ้าทะลายโจรยุคโควิดควรใช้อย่างไร
ในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด 19 รอบแรกเมื่อปี 2563 ยังไม่มียาตัวไหนที่รักษาแบบจำเพาะต่อโรค ทีมเภสัชกร แพทย์แผนไทยจึงมีการทบทวนงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งฟ้าทะลายโจร เป็นพืชที่มีสารแอนโดรกราฟโฟไรด์ น่าจะมีประโยชน์ในการรักษาโรคนี้ จึงส่งมอบข้อมูลให้กรมแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ซึ่งภายหลังทางกรมนำไปศึกษาต่อ ขณะเดียวกันทางรพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศวรก็นำมาใช้กับผู้ป่วยโควิดตั้งแต่ระลอกที่ 1 พร้อมทั้งให้ข้อมูลเรื่องการใช้แก่ประชาชน
@ ผลการใช้ฟ้าทะลายโจรหลังเชื้อมีการกลายพันธุ์เป็นอย่างไร
จากการใช้ฟ้าทะลายโจรกับผู้ป่วยที่จังหวัดปราจีนบุรี มีผู้ติดเชื้อสะสม 2.8 พันราย เสียชีวิต 20 ราย เราได้ให้ยาฟ้าทะลายโจรกับผู้ป่วยทุกรายที่ไม่มีข้อห้ามสำคัญในการใช้ยา พบว่ามีความปลอดภัย ไม่มีอาการแพ้รุนแรง ขณะนี้อยู่ระหว่างการขออนุญาตเก็บข้อมูลการใช้จริงกับผู้ป่วยในปัจจุบัน เพื่อทำการวิเคราะห์ผลต่อ ระหว่างนี้ก็ทบทวนเอกสาร และการใช้ฟ้าทะลายโจรกับผู้ป่วยโรคโควิดในต่างประเทศ เช่น จีน ยุโรป อินเดีย พบว่า 1.มีฤทธิ์ต้านไวรัส และเมื่อเราส่งสารสกัดฟ้าทะลายโจรไปที่คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่ายับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยออกฤทธิ์ในระยะท้ายๆ ขณะที่ยาแรมดิซีเวียร์ จะออกฤทธิ์ยับยั้งในระยะต้น ด้วยกลไกการทำงานของยาเหมือนกันออกฤทธิ์คนละช่วงจึงน่าจะใช้ร่วมกันได้ ซึ่งรพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศรก็ใช้ฟ้าทะลายโจรร่วมกับฟาวิพิราเวียร์
2. ลดการอักเสบ ประเทศจีนใช้ยาฉีดยาฟ้าทะลายโจรพบว่า ลดการอักเสบของปอดได้ดี ตรงกับงานวิจัยในระดับเซลล์ และสัตว์ทดลอง 3. กระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะภูมิคุ้มกันชนิดไม่จำเพาะให้ขจัดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฉะนั้น 3 กลไกหลัก ถ้าให้ในคนไข้ที่ไม่มีข้อห้าม น่าจะมีประโยชน์มากกว่าผลเสีย แต่ต้องทำให้ประชาชนรู้และเข้าใจ เรื่องการใช้ฟ้าทะลายโจรอย่างปลอดภัย
@ จากผลที่ออกมาเราจะมีการต่อยอดฟ้าทะลายโจรเพื่อการพึ่งพาตัวเองต้องทำอย่างไร
แบ่งเป็น 2 ระดับ 1. การพึ่งตัวเองของประชาชน 2. การพึ่งตัวเองของประเทศ คือ เมื่อมีการระบาดใหญ่ ประเทศยังมียารักษา จากผลผลิตของอุตสาหกรรมยาในประเทศ ซึ่งตอนนี้การพึ่งพาตนเองระดับประเทศถือว่าดี แต่การพึ่งพาตัวเองระดับประชาชน สถานการณ์ในขณะนี้ ต้องยอมรับว่าระบบบริการสุขภาพแม้กระทั่งอุตสาหกรรมยาก็ดูแลผู้ป่วยไม่ทั่วถึง ดังนั้นต้องคิดถึงเรื่องการที่ทำให้ประชาชนดูแลตนเองเบื้องต้น ปลูกไว้กินเอง และต้องพัฒนางานวิจัยรองรับเพื่อสร้างองค์ความรู้ที่ถูกต้องให้ประชาชน ถ้าปลูกกินเองใช้เวลา 3 เดือนขึ้นไปถึงได้สารสำคัญ ซึ่งพบมากที่สุดในดอก รองลงมาคือ ใบและกิ่งก้าน ตามลำดับ โดยช่วงที่ใบสะพรั่งและเริ่มออกดอก ให้เก็บใบได้ จะกินสด หรือนำไปตากใต้หลังคาอย่าให้โดนแดดตรงๆ
ถ้าติดโควิด หรือไปสัมผัสคนติดเชื้อหรือมีอาการเข้ากันได้กับโรคนี้ แต่หญิงตั้งครรภ์ห้ามกิน เพราะมีรายงานในสัตว์ทดลองว่าทำให้แท้งลูก การฝังตัวของทารกผิดปกติ คนที่กินแล้วแพ้แม้เล็กน้อยก็ไม่ควรกินต่อ ส่วนคนให้นมบุตรนั้น ร่างกายใช้เวลา 1 วันในการขับฟ้าทะลายโจรออก ดังนั้นถ้ากินฟ้าทะลายโจรเพื่อรักษาโรค ให้หยุดให้นมบุตรเป็นเวลา 7 วัน
ส่วนที่บอกว่ากิน 5 วัน เว้น 2 วันนั้น เป็นการกินเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันโรค โดยต้องกินในปริมาณน้อย แต่ก็ไม่แนะนำให้กินเพื่อเสริมภูมิในช่วงนี้ เพราะมีการระบาดของโรคมาก ไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ จำเป็นต้องเก็บยาเอาไว้สำหรับการรักษาโรคจริงๆ และไม่อยากให้ทุกคนกักตุนเอาไว้ตามบ้าน เพราะที่เราเจอ คือ คนรวย คนมีเงิน มีกระชาย มีขิง มีฟ้าทะลายโจรทุกอย่าง แต่กินไม่ถูก ดังนั้นอยากให้คนไทยคิดถึงเรื่องการทำ community isolation สำรองยา ใครมีความเสี่ยงใครป่วยก็เอามากินแบบนี้จะมีประโยชน์สูงสุดในเวลานี้
ทั้งนี้ต้องเตือนว่าการกินยาฟ้าทะลายโจรหากกินโดยไม่รู้ หรือกินต่อเนื่องเป็นเวลานานจะทำให้เกิดอันตรายต่อการทำงานของตับ และไตได้ ขึ้นอยู่กับ 1. ขนาดที่ได้รับ 2. สภาพเดิมของตับ ไต 3.การใช้ยาอื่นร่วมด้วย ตอนนี้ที่สงสัย คือ มีการใช้ร่วมกับยาพาราเซตามอน ในขนาดยาที่สูง 4.สภาพร่างกายผู้ป่วยมีโรคประจำตัวอื่นๆ หรือไม่ จึงเตือนเรื่องการกินยาผสมกัน รวมถึงการผสมสมุนไพรหลายตัว เช่น ที่เจอผสมฟ้าทะลายโจรกับกระชาย ขิง ซึ่งทั้ง 3 ตัวมีการออกฤทธิ์ต่างกัน พอนำมารวมกันจะทำให้ฟ้าทะลายโจรออกฤทธิ์ไม่เต็มที่ และถ้ากินมากๆ ก็เป็นอันตรายกับตับ ไต
@ มองอนาคตฟ้าทะลายโจรหลังหยุดการระบาดโควิด 19 ได้ จะเป็นอย่างไร
ขณะนี้มีการศึกษาใหม่ๆ พบว่าฟ้าทะลายโจรช่วยในเรื่องภูมิคุ้มกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภูมิแพ้ โรครูมาตอยด์ โรคลำไส้แปรปรวน ส่วนโรคโควิด-19 มีการพยากรว่า โรคนี้ไม่ได้หายไป แต่เราสามารถควบคุมได้ โดยฉีดวัคซีนต่อไป และจะมีคนติดเชื้อแต่ไม่ได้รุนแรง เพราะทุกคนมีภูมิคุ้มกัน เพราะฉะนั้นฟ้าทะลายโจรจึงเป็นสมุนไพรแห่งอนาคต แต่อาจจะต้องพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตอบโจทย์ปัญหาสุขภาพในอนาคต
เพราะฉะนั้นเราจะต้องวิจัยมุ่งเป้า ตั้งแต่ “ต้นน้ำ” คือศึกษาเรื่องพันธุ์ที่เหมาะสม ให้สารสำคัญสูง “กลางน้ำ” คือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เหมาะสำหรับกลุ่มวัย และปัญหาสุขภาพ รวมถึงการคิดถึงการผสมสูตรกับสมุนไพรตัวอื่นด้วย และ “ปลายน้ำ” คือการการใช้อย่างถูกต้องในกลุ่มประชาชน เกิดความน่าเชื่อถือ เชื่อมั่นกับอุตสาหกรรมยาของประเทศ ต่างประเทศก็อยากจะซื้อ
“จากการทำงานด้านสมุนไพรมา 20 ปี ปีนี้ทำให้รู้สึกว่า การพึ่งตนเองของประชาชนมีความสำคัญมาก ถ้าเราสามารถสร้างให้ประชาชนดูแลสุขภาพของตัวเองได้ ใช้สมุนไพรอย่างถูกต้อง จะลดการพึ่งพาและการใช้ทรัพยากรทางการแพทย์ได้มากและวิกฤติของเราน่าจะคลี่คลายและดีมากกว่านี้”
แม้ในสถานการณ์วิกฤติโควิดที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้จะหนักหนา แต่ยังมีโอกาสให้เราได้ใช้ยาสมุนไพรกว้างขวาง ถ้าหากเราสามารถพัฒนาฟ้าทะลายโจรได้สำเร็จ ก็จะสามารถใช้รูปแบบเดียวกันนี้กับสมุนไพรตัวอื่นๆได้ เพื่อให้ประชาชน และประเทศไทยพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด.