นายต่อบุญ พ่วงมหา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทรู ดิจิตอล แอนด์ มีเดีย แพลตฟอร์ม จำกัด, ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป เปิดเผยว่า ตลาดสตรีมมิ่งในไทยถือว่ามีโอกาสเติบโตเพิ่มมากขึ้น หลังจากมีผู้ให้บริการทั้งในประเทศและต่างประเทศ เข้ามาในตลาดนำเสนอบริการและคอนเทนต์ในรูปแบบต่างๆ แก่ผู้บริโภคคนไทย ซึ่งปัจจุบันมีคนไทยประมาณ 1.5-1.6 ล้านคนที่ยอมจ่ายค่าบริการรายเดือนเพื่อรับชมบริการสตรีมมิ่ง และยังมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 2-3 ล้านคนได้ ใน 2-3 ปี ข้างหน้า หากมีการนำเสนอคอนเทนต์ต่างๆ ที่โดนใจผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ปัจจัยที่จะทำให้ผู้ให้บริการประสบความสำเร็จในตลาด ไม่ใช่เพียงแค่การใช้เรื่องกลยุทธ์ด้านราคาอย่างเดียว แต่ต้องประกอบด้วย 3 อย่าง คือ 1.ราคา ที่จะเป็นเสมือนแรงจูงใจที่ดึงให้คนเริ่มเข้ามาใช้บริการ 2. คอนเทนต์ โดยเนื้อหาของคอนเทนต์ต้องโดนใจ ให้คนสนใจดูอย่างต่อเนื่อง และ 3. ต้องมีช่องทางการใช้บริการที่หลากหลาย ดูได้หลายช่องทาง และเข้าถึงได้ง่าย

นายต่อบุญ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้พฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไป หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้คนต้องทำงานและเรียนจากที่บ้าน ซึ่งอาจทำให้เกิดความเครียดมากยิ่งขึ้น จึงมีการเข้าชมคอนเทนต์ต่างๆ เกือบทุกช่วงเวลา จากเดิมที่นิยมรับชมในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ หรือประมาณ 2 ทุ่ม และมีการใช้เวลารับชมเฉลี่ยมเพิ่มมากขึ้นจากเดิม 2-3 ชั่วโมง เป็น 3-4 ชั่วโมง

ด้านนางณัฏฐา พสุพัฒน์ ผู้อำนวยการ ธุรกิจโมบายล์โพสต์เพย์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ในฐานะที่กลุ่มทรูเป็นผู้ให้บริการด้านดิจิทัลไลฟ์สไตล์มีการวิเคราะห์ข้อมูลความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าที่เปลี่ยนไป เพื่อที่จะนำมาสร้างสรรค์บริการที่จะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคดิจิทัล ซึ่งล่าสุด ทรูไอดี ได้ร่วมกับทรูวิชั่น และทรูมูฟเอช เสนอแพ็กเกจให้ลูกค้าทรูมูฟ เอช ได้รับชมคอนเทนต์ระดับโลก แบบออนดีมานด์ ได้ทุกที่ ทุกเวลา ตามต้องการ ทั้งภาพยนตร์ฮอลลีวูดจากหลากหลายค่ายยักษ์ใหญ่ วอร์เนอร์ บราเธอร์, พาราเมาท์ พิกเจอร์ส, ดรีมเวิร์ค พิกเจอร์ส ฯลฯ และ รายการวาไรตี้ และซีรีส์เกาหลีชื่อดัง รวมถึงกีฬาระดับโลก อาทิ ฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ รายการแข่งขันกอล์ฟ PGA Tour และการแข่งขันเทนนิส WTA Tour ด้วย 2 แพ็กเกจที่ตรงความต้องการของแต่ละบุคคล ราคาเริ่มต้น 49 บาทต่อเดือน และสมัครได้ทั้ง ลูกค้าทรูมูฟ เอช แบบรายเดือนและเติมเงิน