ผศ.ดร.อัศวิน อมรสิน เปิดเผยว่า เนื่องจากสถาณการโควิด-19 แพร่ระบาด ทำให้ยอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกวันทั่วประเทศและ จ.มหาสารคาม ยอดผู้ติดโควิดเพิ่มขึ้นทุกวัน จึงทำให้เป็นที่ที่มาของการผลิต MSU SPack (MSU survival pack) หรืออาหารฉุกเฉินพร้อมบริโภคสำหรับผู้กักตัว โดย ม.มหาสารคาม ได้พัฒนาขึ้นร่วมกับ นิสิตภาควิชาเทคโนโลยีการอาหารและโภชนศาสตร์ คณะเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นการนำผลงานวิจัยเพื่อใช้ประโยชน์ต่อสังคม โดยต่อยอดจากโครงการ ”กล่องข้าวน้อยให้แม่” ที่เคยสนับสนุนกิจกรรมช่วยเหลือน้ำท่วม จ.อุบลราชธานี ในปี 2562 จากประสบการณ์ครั้งนั้น พบว่าการเตรียมความพร้อม ด้านความมั่นคงทางอาหาร ในสภาวะฉุกเฉินมีความจำเป็นมาก โดยมี 4 ด้านหลัก คือ 1.การมีอาหารเพียงพอสำหรับประทังชีวิต 2.การเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพได้อย่างเหมาะสม 3.อาหารสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งปริมาณและถูกสุขลักษณะ และ 4.การมีเสถียรภาพด้านอาหารที่ประชาชนหรือครัวเรือนหรือบุคคลต้องเข้าถึงอาหารอย่างเพียงพอตลอดเวลา ไม่มีความเสี่ยงในการเข้าถึงอาหารเมื่อเกิดความขาดแคลนขึ้นมาอย่างกะทันหัน

จุดเด่นของอาหาร Spack คือบรรจุภาชนะปิดสนิท มีน้ำหนักเบา ไม่เน่าเสียเมื่อเก็บที่อุณหภูมิปกติ และมีอายุการเก็บอย่างน้อย 2 ปี มั่นใจได้ถึงคุณภาพ มีความหลากหลายของเมนู รสชาติถูกปากคนไทย ล่าสุดสามารถรวบรวมชุดมื้ออาหาร สามารถจัดเป็น survival pack หรือ อาหารฉุกเฉินพร้อมบริโภคสำหรับผู้อยู่รอด ได้อย่างน้อย 3 วัน โดยไม่ต้องพึ่งพาอาหารจากแหล่งภายนอก (ยกเว้นน้ำดื่ม) เหมาะกับผู้ที่กักตัวโควิด ที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งอาหารได้โดยง่าย หรือไม่มีไฟฟ้าหรือแก๊สหุงต้ม อาหารในชุด MSU Spack จะประกอบด้วย อาหารไทยนิยม ได้แก่ ข้าวสวย ข้าวเหนียว และเส้น (หมี่) และเมนูกับข้าวทำจากหมู เนื้อ ไก่ เป็ด เช่น ผัดกะเพรา พะแนง สตู แกง เนื้อแดดเดียว ไข่ต้ม ก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น สำหรับการผลิตนั้น ถือได้ว่ามีความปลอดภัย เพราะควบคุมโดยอาจารย์ที่มีความรู้ความชำนาญด้านนี้โดยเฉพาะ และยังได้ certificate of Thermal process authority (Thai FDA) ซึ่งสามารถออกแบบกระบวนการถนอมอาหารด้วยความร้อน เพื่อให้มีค่าอัตราการฆ่าเชื้อ เหมาะสมกับอาหารในบรรจุภัณฑ์ปิดสนิทแต่ละชนิดได้

ผศ.ดร.อัศวิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลงานของอาจารย์และนิสิต ภาควิชาเทคโนโลยีการอาหารและโภชนศาสตร์ คณะเทคโนโลยี ม.มหาสารคาม หวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนความมั่นคงทางอาหารของประเทศไทย โดยอาศัยองค์ความรู้ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง