เมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่รัฐสภา นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะอนุคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์และไอซีที กล่าวถึงการพิจารณางบประมาณของกองทัพเรือว่า เรื่องหลักคือสัญญาณการจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 1 ที่ซื้อไปเรียบร้อยแล้ว และเรื่องที่ 2 คือ สัญญาการจัดซื้อเรือยกพลขึ้นบกเฮลิคอปเตอร์ที่เป็นรัฐต่อรัฐ ยืนยันว่ากองทัพเรือต้องนำสัญญามาให้ กมธ.ดู หากไม่นำสัญญามา กมธ.จะรู้ได้อย่างไรว่า จะต้องจ่ายค่างวดในปี 65 อย่างไร

นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ส่วนกรณีโดรนชายฝั่งจำนวน 3 ตัว รวมทั้งสิ้น 4,100 ล้านบาท ก็ต้องขอคำอธิบายว่ามีเหตุผลความจำเป็นอย่างไรในการซื้อโดรน ขณะเดียวกันกองทัพเรือเคยมีการซื้อโดรนมาก่อนแล้ว ทำไมจะต้องซื้อเพิ่มและโดรนมีราคาแพงมาก จึงอยากให้กองทัพเรือได้อธิบายชี้แจง ยืนยันว่าตนไม่ได้มีอคติกับกองทัพเรือ ทุกอย่างพิจารณาด้วยเหตุและผลถึงความจำเป็น ในส่วนใดที่ กมธ.คิดว่ายังไม่จำเป็นก็ต้องปรับลด และจะต้องไม่มีการเกรงใจกัน ไม่ใช่พอเป็นงบของกลาโหม งบกองทัพ งบตำรวจ ก็มาเกรงใจกัน ตนทำงานแบบตรงไปตรงมา

เมื่อถามว่า หากเอกสารเป็นเรื่องของความมั่นคงจะพอรับฟังได้หรือไม่ หากเอกสารไม่ครบหรือไม่ได้ตามที่ร้องไป นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ต้องเรียนว่าขอดูแค่สัญญาการจัดซื้อจัดจ้าง กองทัพบกกับกองทัพอากาศก็นำมาให้ดู งบประมาณกองทัพบกมากกว่ากองทัพเรือก็ไม่เห็นมีปัญหา เราต้องทำงานให้มีความโปร่งใส ไม่ใช่มาทำลับๆ ล่อๆ ถ้าไม่นำสัญญามาให้ดู ตนก็เสนอว่าก็ไม่ต้องเอางบประมาณ อยากให้จับตาดูงบประมาณของกองทัพเรือเนื่องจากมีความผิดปกติ เช่น ท่าจอดเรือดำน้ำมูลค่า 900 ล้านบาท ก็ไปให้บริษัทที่เป็นตัวแทนรัฐบาลจีนมาทำ ต้องขนาดนั้นเชียวหรือ แค่ขุดลอกกับทำเขื่อน ประเทศไทยก็ทำเองได้ ตนไม่ได้มีธง หรือจงเกลียดจงชังกองทัพเรือ หากกองทัพเรือมีความโปร่งใสนำเอกสารต่างๆ มาให้ดู และมีเหตุผลมีผล เราก็ต้องพิจารณาไปตามเอกสารหลักฐาน

นายยุทธพงศ์ กล่าวถึงกรณียื่นสอบ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 มีผู้ใหญ่ใจดีซื้อรถเมอร์เซเดสเบนซ์ s class ว่า เนื่องจากวันนี้ กมธ.งบประมาณชุดใหญ่ไม่มีการประชุม จึงเปลี่ยนมายื่นในวันที่ 29 ก.ค. 64 แทน ซึ่งรัฐธรรมนูญมาตรา 144 เขียนไว้ชัดเจนว่า คนที่เป็น ส.ส. ส.ว. และ กมธ.งบประมาณฯ จะต้องไม่มีส่วนได้เสียไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่กำลังพิจารณาอยู่ และจะต้องให้ นายอาคม เติมพิยาไพสิฐ รมว.คลัง ในฐานะประธาน กมธ.งบประมาณฯ และนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พปชร. ในฐานะรองประธาน กมธ.งบประมาณฯ สอบเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนที่งบประมาณ 65 จะเข้าสภาฯ ในวาระที่ 2 และ 3 มิเช่นนั้นหากไปลงมติโดยที่งบประมาณมีส่วนได้ส่วนเสียก็ไม่ได้ และตนจะให้แจ้ง กมธ.งบประมาณฯ ถึงผลสอบเงิน 5 ล้านบาทนี้ด้วย

นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า ที่ตนเรียกร้องให้นายเรืองไกรชี้แจงว่าทำไมถึงถือเงินสด 5 ล้านบาทไปซื้อ เนื่องจากมีเรื่องความโปร่งใสและชวนให้ติดตามอยากให้ชี้แจง เพราะปกติแล้วการทำธุรกรรมทางการเงินไม่มีใครถือเงินจำนวนมากๆ ในรูปแบบเงินสด หากเป็นเงินที่โปร่งใสส่วนใหญ่จะเป็นเช็คเพราะปลอดภัยและมีที่มาที่ไปว่าใครเป็นเจ้าของเงิน

เมื่อถามว่า การยื่นร้องกันไปมาไม่ได้เป็นปมมาจากความขัดแย้งส่วนตัวใช่หรือไม่ นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ตนไม่เคยให้ราคานายเรืองไกร นายเรืองไกรไม่ได้เป็น ส.ส. ไม่ได้เป็นอะไรเลย เมื่อก่อนเคยอยู่พรรค พท. เขาก็พากันเรียกว่านักร้องย้ายค่าย อย่างของผมนักร้องค่ายเดียว

“ผมทำงานเป็นนักการเมืองที่มีอุดมการณ์ ทำงานตรวจสอบเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน ผมไม่ใช่โสเภณีทางการเมือง ยืนยันว่าไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับเขา นายเรืองไกร ประชาชนเคยเลือกมาหรือไม่ ไปสมัครก็สอบตกไม่มีประชาชนเลือก คนสารคามฝากมาบอกให้นายเรืองไกรช่วยไป จ.มหาสารคาม หน่อย ไปช่วยคนที่เขาลำบาก คนที่เป็นโควิด-19 ให้มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ที่กำลังเจ็บป่วย คนสารคามยังบอกเลยว่านายเรืองไกรจะใจดำอะไรนักหนา” นายยุทธพงศ์ กล่าว.