เมื่อวันที่ 16 เม.ย. ที่บริเวณสถานีรถไฟดอนเมือง นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคก้าวไกล เบอร์ 1 พร้อมด้วยนายไกรศักดิ์ เสาเวียง ผู้สมัคร ส.ก.เขตดอนเมือง พรรคก้าวไกล เบอร์ 5 ร่วมเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่จุดบริการประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยปฐมพยาบาล อาสาสมัครป้องกันภัยพลเรือน (อปพร.) รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ดอนเมือง พร้อมซักถามเกี่ยวกับปัญหาสภาพการจราจรและการบริการประชาชนด้านต่างๆ รวมถึงพบปะพูดคุยกับประชาชนที่รอขึ้นรถไฟและอวยพรให้เดินทางอย่างปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์

นายวิโรจน์ ให้สัมภาษณ์ ว่าการแก้ปัญหาจราจรต้องไม่ยึดติดกับวิธีคิดแบบเดิมๆ เช่นการขยายหรือการตัดถนนใหม่ๆ วิธีแก้ที่ดีที่สุดในวันนี้คือการปรับปรุงระบบขนส่งสาธารณะให้ดีเท่านั้น ปัจจุบันคน กทม.ใช้รถเมล์ถึงวันละ 7 แสนคน แต่รถเมล์กลายเป็นระบบขนส่งสาธารณะที่ไม่ได้รับการดูแลมากที่สุด จากการที่ส่วนตัวได้เคยปรึกษากับกรมการขนส่งฯ มา นี่คือสิ่งที่ผู้ว่าฯ กทม. แก้ไขได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเส้นทางที่ใบอนุญาตหมด ไม่มีรถร่วมฯ หรือบริษัทเอกชนเดินรถ กทม.สามารถเข้าไปเดินรถเองได้, ปรับปรุงหรือทำเส้นทางที่มีการเชื่อมโยงกับระบบรถไฟฟ้าเพิ่ม, ส่งเสริมจูงใจให้มีการใช้งานมากขึ้นด้วยระบบบัตรเหมา และจะต้องมีการพิจารณาเปลี่ยนรถเมล์เก่าทั้งระบบด้วย

การที่รถเมล์เก่าไม่เคยเปลี่ยนมาหลายสิบปี เพราะที่ผ่านมาผู้บริหารทุกคนตั้งแต่เป้าหมายว่าจะทำอย่างไรให้รถเมล์ไม่ขาดทุนหรือทำกำไรได้ พอรถเมล์ขาดทุนก็เลยต้องปล่อยให้รถเมล์ทรุดโทรมลงทุกวัน เราต้องคิดในกรอบใหม่ว่านี่คือบริการสาธารณะ สามารถขาดทุนได้ เพื่อให้คน กทม.ได้ใช้บริการที่ดี ทุกคนใช้บริการได้เท่าเทียม และเส้นทางการเดินรถเมล์ยังจะส่งเสริมให้เกิดเศรษฐกิจสองข้างทางตึกแถวสำหรับคนทั่วไปมากขึ้น ไม่ใช่แต่เศรษฐกิจของห้างสรรพสินค้าใหญ่เพียงอย่างเดียว

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า ส่วนระบบขนส่งรถไฟฟ้า ที่มีค่าบริการแพงเกินกว่าที่ควรนั้น ต้นตอมาจากค่าแรกเข้าที่ซ้ำซ้อน ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นปัญหาที่เกิดจากการลงนามสัญญาระหว่าง กทม. กับบริษัทบีทีเอสที่ไม่ปกติ ซึ่งสัญญาดังกล่าวไม่เคยมีการเปิดเผยให้สาธารณชนรับทราบมาก่อน ทั้งนี้เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ที่ผ่านมาส่วนตัวได้มีการยื่นหนังสือขอให้ กทม. ออกมาเปิดเผยสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวแล้ว แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการตอบสนองกลับมาอย่างไรทั้งสิ้น

รถไฟฟ้าสายสีเขียว เป็นของ กทม. เป็นเส้นทางที่มีผู้โดยสารมากที่สุด หากไม่เปิดเผยสัญญาให้โปร่งใสจะแก้ไขปัญหาให้เป็นจริงไม่ได้เลย นี่คือสิ่งที่ตนจะตามติดให้มีการเปิดเผยสัญญาออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะในวันนี้หรือในวันที่ได้ผู้ว่าฯ กทม. คนใหม่แล้ว และถ้าตนเป็นผู้ว่าฯ กทม. เมื่อไร ตนจะใช้อำนาจในฐานะผู้ว่าฯ เปิดเผยสัญญาฉบับเต็มทั้งหมดให้สาธารณชนรับทราบในทันที และนี่คือเรื่องที่จะต้องทำก่อนการต่อสัญญารอบใหม่ด้วย

“ประชาชนมีสิทธิที่จะทราบ ว่าเรื่องหนี้ที่ค้างจ่ายอยู่มีความเป็นมาอย่างไร เป็นเพราะสัญญาหรือไม่ นี่คือสิ่งที่เราต้องทำก่อนการทำสัญญาครั้งต่อไป การเปิดเผยสัญญาให้โปร่งใสผมเชื่อว่าจะนำไปสู่การปลดล็อกปัญหาตั๋วร่วม-ค่าโดยสารร่วมที่ค้างคามานาน รวมถึงแก้ปัญหาค่าโดยสารแพงได้ด้วย เพราะเมื่อสัญญาต้องเปิดเผยสู่สาธารณะ จะไม่มีใครกล้าเซ็นให้สัญญาที่มีเงื่อนไขเอาใจนายทุน และเอารัดเอาเปรียบประชาชนได้”

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นายวิโรจน์ พร้อมด้วย นายกัณตพณ ดวงอัมพร ผู้สมัคร ส.ก.พรรคก้าวไกล เขตดินแดง เบอร์ 5 ยังเดินหาเสียงพบปะประชาชนที่ตลาดกลางดินแดง และซอยประชาสงเคราะห์ โดยได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากประชาชนและชาวตลาดกลางดินแดง 

ทั้งนี้ก่อนการเดินหาเสียง นายวิโรจน์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า สำหรับการมาสื่อสารกับชาวตลาดดินแดงครั้งนี้ จะเน้นไปที่นโยบายการทำให้การจัดเก็บขยะมีประสิทธิภาพและความรวดเร็วมากขึ้น การทำให้ทั้งคนเดินเท้าและผู้ค้าสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างผาสุก ทั้งนี้ ต้องย้ำว่าที่ผ่านมาผู้ค้าไม่ได้อยากค้าขายบนทางเท้า แต่อยากได้พื้นที่ค้าขายที่เป็นกิจลักษณะ มีการขนส่ง มีผู้คน แต่การจัดการในอดีตมักจะผลักให้ผู้ค้าไปขายในที่ที่ไม่มีคน ก็ไม่สามารถขายได้ นี่คือเรื่องที่ต้องมีความเข้าใจกันทั้งสองฝ่ายและทำให้อยู่ร่วมกันได้ หากสามารถทำให้เศรษฐกิจของทั้งหน้าห้างและหน้าตลาดมีความสะอาด มีการจัดการที่เท่าเทียมกัน การค้าขายก็จะสะดวกขึ้น 

สำหรับผู้สมัคร ส.ก. ของพรรคก้าวไกลในเขตดินแดง นายกัณตพล คือคนที่ทำงานช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ อธิบายนโยบายของพรรคให้ผู้คนเข้าใจมาโดยตลอด โดยเฉพาะนโยบายเกี่ยวกับการเติมเงินสวัสดิการให้ผู้สูงอายุ ผู้พิการ เด็กเล็ก ซึ่งพรรคก้าวไกลให้ความสำคัญเสมอมา เพราะการสร้างรัฐสวัสดิการที่ดี จะทำให้คนกล้าบุกเบิก กล้าลงทุนทำมาค้าขาย และจะทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองที่มีกำลังซื้อน่าลงทุน 

ส่วนกรณ๊กรณี ม.จ.จุลเจิม ยุคล ออกมาโจมตีนายวิโรจน์และพรรคก้าวไกลว่ามีนโยบายล้มล้าง กทม.ว่า กทม. คือเมืองของผู้คน การแก้ปัญหาใดๆ ต้องคิดถึงผู้คนจริงๆ คิดถึงการใช้ชีวิต กิจกรรมทางเศรษฐกิจ อย่าเอางบประมาณที่เป็นภาษีของเราไปสร้าง แต่สิ่งปลูกสร้างแล้วกันให้คนออกไป ความสวยงามที่แท้จริงของเมืองคือผู้คน ระเบียบที่เกิดขึ้นต้องไม่มาจากผู้มีอำนาจคนใด แต่มาจากตกลงกติการ่วมกัน ความเข้าใจซึ่งกันและกัน 

“คนเหล่านี้ภาษาจีนเรียกว่า เจี๊ยป้าบ่อสื่อ พวกผมตั้งใจทำงานดีกว่า การบอกว่าเมืองที่คนเท่ากันเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ แต่สำหรับผมและพรรคก้าวไกลอย่างไรก็จะทำความฝันนี้ให้เป็นจริงสำหรับคนทุกคนให้ได้ กระตุ้นให้ กทม.เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยกิจกรรมและการค้าขาย ไม่ใช่เน้นแต่สิ่งก่อสร้างสวยงามแต่ไร้ผู้คน ไร้ชีวิตชีวา ให้เป็นเมืองที่คนเท่ากัน” นายวิโรจน์ กล่าว