เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 4 เม.ย. นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข 4 พร้อมด้วยนายเมธวิน อังคทะวานิช ผู้สมัครสมาชิกกรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตพญาไท หมายเลข 1 และนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้อำนวยการการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และ ส.ก.พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกันลงพื้นที่แนะนำตัวพร้อมขอคะแนนเสียงจากพ่อค้า แม่ค้า และประชาชนภายในซอยพหลโยธิน 7 (อารีย์) เขตพญาไท ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนให้การตอนรับเป็นอย่างดี

โดยช่วงหนึ่ง นายสุชัชวีร์ ได้เห็นป้ายหาเสียงของตัวเองตั้งกีดขวางทางเข้าออก จึงให้เจ้าหน้าที่เอาออกทันที พร้อมระบุว่าให้ระมัดระวังในการติดป้ายอย่ากีดขวางทางเดิน และบริเวณทางข้ามถนน ต้องให้สามารถมองเห็นรถและไม่ควรล้ำไปบนถนน เพราะเป็นอันตรายต่อรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์อาจไปเกี่ยวได้ ทั้งนี้ต้องขออภัยหากเจอป้ายที่มีหน้าตนไปกัดขวาง ก็ได้ย้ำกับเจ้าหน้าที่แล้ว

นายสุชัชวีร์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. มากถึง 29 คน ว่า จากในอดีตก็มีผู้สมัคร 20-30 คนมาแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เหนือคามคาดหมาย ดังนั้นกลยุทธ์สำคัญคือต้องขยันอย่างเดียว ต้องทำให้ประชาชนมั่นใจว่าสิ่งที่เราพูดไปทำได้จริง มั่นใจในสิ่งที่เราเคยทำ ต้องมั่นใจว่ากรุงเทพฯ ต้องเปลี่ยน และต้องเปลี่ยนเป็นเมืองสวัสดิการที่ทันสมัยต้นแบบของอาเซียนให้ได้ ตนไม่อยากให้ปัญหาซ้ำซากต้องไปถึงผู้ว่าฯ กทม.คนต่อไป

เมื่อถามว่าตอนนี้มีเรื่องการติดดป้ายกีดขวางการจราจรที่มีประชาชนร้องเรียนค่อนข้างมาก นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า ป้ายมากจริงๆ แต่ป้ายของตนยังน้อยอยู่ เพราะเราพยายามจะระมัดระวังมาก ซึ่งได้กำชับผู้ที่รับผิดชอบติดป้ายให้ระมัดระวังและเราคิดมาล่วงหน้าแล้วว่าป้ายเรามีหลายรูปแบบให้เหมาะสมกับยุคสมัย ต่อข้อถามถึงกรณีที่มีผู้สมัครหลายคนปรับป้ายให้มีขนาดเล็กลง นายสุชัชวีร์จะปรับป้ายให้เหมาะสมด้วยหรือไม่ นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า ที่จริงรูปแบบให้เล็กลงเขามีการใช้กันมานานแล้ว ซึ่งของเราก็มีที่ตั้งใจไว้แล้ว มีป้ายขนาดเล็กด้วย จึงขอให้คอยติดตามดู ตอนนี้เป็นยุคสื่อโซเชียล ทำให้การติดป้ายต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ส่วนเรื่องป้ายโดนทำลายนั้น ยังไม่พบ แต่มีบ้างนิดหน่อยซึ่งอาจจะเกิดจากโดนลมพัด

เมื่อถามว่าการหาเสียงตอนนี้นอกจากชูนโยบายต่างๆ แล้วต้องชูนโยบายของ ส.ก.เข้าไปด้วย นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า ผู้ว่าฯ กทม.ทำงานคนเดียวไม่ได้ ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่ต้องชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าเราทำงานร่วมกันได้ ตนมีอิสระในเรื่องของนโยบาย วิสัยทัศน์บอกชัดว่ากรุงเทพฯ ต้องเป็นเมืองสวัสดิการที่ทันสมัย ต้นแบบของอาเซียน ส.ก.ทั้ง 50 เขต ก็ไปด้วยนโยบายเดียวกัน ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดแข็ง ไม่เช่นนั้นใครก็หาเสียงได้ แต่พอไปเป็นผู้ว่าฯ จริงๆ ก็ติดขัดที่ ส.ก.ตรงนี้ ผู้ว่าฯ จึงมาพร้อม ส.ก. 50 เขต

ต่อข้อถามว่าการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ผ่านมา ประชาธิปัตย์สูญพันธุ์ใน กทม. ถึงตอนนี้ยังไม่มั่นใจหรือไม่ นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า ก็กลัวไม่ใช่ไม่กลัว เพราะปี 62 สูญพันธุ์ แต่จากการลงพื้นที่ไป 50 เขต รู้สึกมีความมั่นใจมากขึ้น เพระาประชาชนให้การตอนรับจริงๆ เชื่อได้ว่าครั้งนี้ประชาชนจะกลับมให้การสนับสนุน แต่บอกอะไรล่วงหน้าไม่ได้ เราต้องพยายามเต็มที่ให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าผู้ว่าฯ และผู้สมัคร ส.ก.ทำงานจริงๆ ทำงานได้ และทุ่มเทจริงๆ เมื่อถามว่ากระแสตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง เพราะผลโพลยังเป็นรองคู่แข่งอยู่ นายสุชัชวีร์ กล่าวว่าตนลงพื้นที่ไป 50 เขต ได้รับการต้อนรับที่ดีจากคนทุกวัย ส่วนเรื่องโพลก็เป็นปกติ ยิ่งเป็นรอง ยิ่งต้องขยันมากขึ้น

นายสุชัชวีร์ กล่าวอีกว่า จากการลงพื้นที่ พบว่าพ่อค้าแม่ค้าพูดเหมือนกันหมดว่ากรุงเทพฯ มันเฉา เพราะเศรษฐกิจยุคโควิด ดังนั้นตนตั้งใจว่าหากได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. งานแรกคือต้องลงไปสู้กับปัญหาโรคโควิด-19 แบบถึงลูกถึงคน เพราะถ้าโควิดยังแย่อยู่ อะไรก็แย่หมด หากแก้ปัญหาโควิดได้ 1 เรื่อง จะได้ตามมาอีก 4 เรื่อง คือ 1.เศรษฐกิจดีขึ้น คนได้กลับมาทำงาน 2.นักท่องเที่ยวกลับมา 3.หมอ อาสาสมัคร ได้กลับไปช่วยประชาชนที่เป็นโรคอื่น และ 4.กทม.ได้เก็บงบฯ เต็มเม็ดเต็มหน่วยมาช่วยงานอื่นๆ ดังนั้นเรื่องโควิด จึงเป็นเรื่องที่ต้องจัดการสุดชีวิต

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีแนวทางที่จะเปิดช่องให้พ่อค้าแม่ค้าขายของได้ทุกวันด้วยหรือไม่ นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า หากเป็นบริเวณทางเท้า เห็นว่าทางไหนที่ขวางคนเดินเท้าก็ไม่ควรมีร้านค้า เราจึงต้องให้ความสำคัญกับคนเดินเท้ามากที่สุด แต่ในกรณีที่มีทางกว้าง เราสามารถรักษาสมดุลผู้ซื้อ ผู้ขายได้ หากทางเท้ากว้างก็ขายได้ทุกวัน ขณะเดียวกันอยากจะเพิ่มก๊อกน้ำบริเวณริมทางเท้า เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและถูกสุขลักษณะ พร้อมทั้งจะดูแลจัดเก็บขยะให้ได้ทุกวัน