ร้อยตรีจักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) กิโลกรัมละ 1 บาท รวม 3 ครั้ง เริ่มตั้งแต่เดือน เม.ย.65 ส่งผลให้ขนาดถังละ 15 กิโลกรัม (กก.) ปรับขึ้นถังละ 15 บาท เป็น 333 บาท จากเดิม 318 บาทว่า จะมีผลต่อต้นทุนในการประกอบอาหารเพียงเล็กน้อย เนื่องจากก๊าซหุงต้ม 1 ถัง ใช้ทำอาหารได้ 200-300 จาน ดังนั้น การปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม จึงไม่ควรเป็นเหตุผลให้ผู้ประกอบการร้านอาหารปรับขึ้นราคา อย่างไรก็ตาม กรมจะติดตามสถานการณ์ราคาอาหารอย่างใกล้ชิด เน้นย้ำให้ผู้ประกอบการปิดป้ายแสดงราคาให้ชัดเจน และห้ามฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาโดยเด็ดขาด  

“ราคาก๊าซหุงต้มที่เพิ่มขึ้น ไม่มีผลทำให้ราคาอาหารต้องปรับขึ้น หากประชาชนพบเห็นการจำหน่ายสินค้าหรือบริการที่ไม่เป็นธรรม สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัด จะดำเนินการตามกฎหมาย โดยกรณีค้ากำไรเกินควร กักตุนสินค้าหรือปฏิเสธการจำหน่ายต้องโทษจำคุก 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนกรณีไม่ติดป้ายแสดงราคาจะมีโทษ ปรับไม่เกิน 10,000 บาท”

ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าสินค้าอุปโภคบริโภคบางชนิด เช่น ซอสปรุงรส และผงซักฟอก (ผลิตภัณฑ์ซักล้าง) ปรับขึ้นราคาขายนั้น กรมได้ติดตามสถานการณ์ราคาและต้นทุนของสินค้าอุปโภคบริโภคมาโดยตลอด โดยเฉพาะสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ 18 หมวด ได้แก่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป, อาหารสด (ไข่ไก่ เนื้อสัตว์), อาหารกระป๋อง, ข้าวสารถุง, ซอสปรุงรส, น้ำมันพืช, น้ำอัดลม, นมและผลิตภัณฑ์จากนม, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ผลิตภัณฑ์ซักล้าง, ปุ๋ย, ยาฆ่าแมลง, อาหารสัตว์, เหล็ก, ปูนซีเมนต์, กระดาษ, ยาเวชภัณฑ์และบริการทางการแพทย์ และบริการผ่านห้างค้าปลีก-ส่ง โดยขณะนี้ยังไม่ได้อนุญาตให้ปรับขึ้นราคาขาย แต่ต้นสัปดาห์หน้า กรมจะเชิญผู้ผลิตสินค้ากลุ่มซอสปรุงรส และผงซักฟอก มาหารือ เพื่อกำชับในเรื่องราคา รวมทั้งจะประชุมร่วมกับห้างค้าส่งค้าปลีก เพื่อติดตามสถานการณ์ราคาและปริมาณสินค้า และให้เตรียมสต๊อกสินค้าให้เพียงพอต่อการจำหน่ายในช่วงเทศกาลสงกรานต์ด้วย