คนเราเมื่อล้มแล้วก็ต้องรีบลุกตั้งหลักเดินหน้าต่อไป ถ้ามัวแต่ท้อแท้สิ้นหวังหมดกำลังใจแล้ว ตัวเองกับครอบครัวและคนที่เรารักจะอยู่ต่อไปอย่างไร วันหนึ่งที่อุปสรรคถาโถมเข้ามา ขอให้ทุกคนลุกขึ้นสู้ พรุ่งนี้อาจจะดีกว่าเมื่อวานก็ได้ อย่าง “ป้านกแก้ว” หรือ นางนกแก้ว ฉัตรแก้ว อายุ 52 ปี ที่ก่อนหน้านี้เปิดร้านเสริมสวยและฟาร์มเลี้ยงแมวสายพันธุ์ต่างๆ ธุรกิจกำลังไปได้ดี ใครจะคิดว่าวันหนึ่งทุกอย่างต้องจบลง
“ป้านกแก้ว” เป็นเจ้าของกิจการร้านเสริมสวยและฟาร์มเลี้ยงแมวสายพันธุ์ยอดนิยมใน อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ พอเจอพิษโควิด-19 ลูกค้าหดหายกิจการซบเซา ช่วงแรกก็ยังทนสู้คิดว่าวันหนึ่งคงจะดีขึ้น สุดท้ายยื้อไม่ไหว เพราะภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ เกินจะแบกรับไหว จำใจต้องเซ้งร้านเสริมสวยที่ตัวเองสร้างมากับมือทั้งน้ำตา แถมยังมีหนี้สินติดตัวนับแสนบาท
แต่ด้วยความที่เป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ จึงฮึดสู้นำเงินที่เหลือติดตัวก้อนสุดท้าย 2,000 บาท มาลงทุนทำน้ำพริกนานาชนิดขาย พลิกชีวิตกลับมายืนได้อีกครั้งด้วยความภาคภูมิใจ!
บางครั้งที่ป้านกแก้วเคยนึกย้อน หากวันนั้นหมดกำลังใจไป ตอนนี้ชีวิตจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้? ทุกวันนี้มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ เลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ แถมยังปลดหนี้สินให้ตัวเองได้สำเร็จ ในระยะเวลาเพียงแค่ 5 เดือนเท่านั้น
ทุกวันนี้ป้านกแก้วใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่บ้านเลขที่ 75 หมู่ที่ 7 หมู่บ้านเทพนิมิตร โครงการ 1 ต.บึงสามพัน แต่ละวันก็ทำน้ำพริกขาย โดยคัดสรรวัตถุดิบอย่างดีมีคุณภาพ ลงมือทำด้วยใจ เน้นความสะอาด อร่อย จนคนใน อ.บึงสามพัน รู้จักน้ำพริกตราป้านกแก้วเป็นอย่างดี
ป้านกแก้ว เล่าว่า เดิมทีตนเปิดร้านเสริมสวยและเปิดฟาร์มเลี้ยงแมวหลายสายพันธุ์ อาทิ สายพันธุ์เปอร์เซีย, สกอตติช โฟลด์ และเอ็กโซติก เป็นต้น แต่พอเริ่มมีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ลูกค้าร้านเสริมสวยเริ่มลดน้อยลงจนถึงทางตัน ร้านเสริมสวยใน อ.บึงสามพัน บ้านเรามีกว่า 50 กว่าร้าน ก็แบ่งลูกค้ากันไป ยิ่งมาเจอโควิดยิ่งแย่ ลูกค้าแทบไม่มีเลย
ส่วนแมวที่ฟาร์มก็เริ่มขายยากขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายทุกอย่างยังคงเท่าเดิม จึงตัดสินใจประกาศปิดกิจการร้านเสริมสวย ตอนนั้นมีเงินติดตัวอยู่ 2,000 บาท กลับมาอยู่บ้านด้วยความสิ้นหวัง ในขณะที่ฟาร์มเลี้ยงแมวก็ได้ประกาศขายแมวจนเกือบหมด เหลือไว้ไม่กี่ตัว เพราะทนรับภาระค่าอาหารแมวไม่ไหว!!
วันหนึ่งขณะที่กำลังนั่งสิ้นหวังกับชีวิต ก็ได้เหลือบไปเห็นตะหลิว ทัพพี หม้อ กระทะของแม่ที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งแขวนเก็บไปอย่างดีอยู่ที่ข้างฝาบ้าน จึงนึกขึ้นได้ว่าแม่เคยเป็นแม่ค้าขายกับข้าวและน้ำพริกมาก่อน ตนจึงได้นำเงิน 2,000 บาท ก้อนสุดท้ายไปซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์การทำน้ำพริกมาทำขาย ลงทุนทำน้ำพริกพอประมาณเพราะลงทุนน้อย วันละ 2 อย่าง ได้ประมาณ 100 กระปุก ขายกระปุกละ 50 บาท โดยโพสต์ขายลงในกลุ่มต่างๆ ของ อ.บึงสามพัน และเจาะขายตามบ้าน
“ในช่วงแรกๆ น้ำพริกขายแทบไม่ได้เลย เพราะไม่มีใครรู้จักว่าเป็นใครมาจากไหน อยู่ๆ ก็มาขายน้ำพริก ซื้อไปก็ไม่รู้ว่าจะอร่อยไหม แต่ป้าก็ไม่ยอมแพ้ เรื่องค้าขายต้องอดทน พอคนรู้จักเราแล้วทุกอย่างก็ไปได้เอง จากคนที่ทดลองทาน ต่อมาพอเขามีงานเขาก็จะโทรฯ จะสั่งเป็นกิโล ป้าจะขายกิโลละ 350 บาท จนมาถึงวันนี้น้ำพริกป้านกแก้ว ก็พอจะเป็นที่ยอมรับของคนใน อ.บึงสามพัน ทั้งในเรื่องของรสชาติที่อร่อยหอมถึงกลิ่นเครื่องเทศ ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ก็สดใหม่ทุกวัน ไม่มีค้างคืน และไม่ใช้สารกันบูด”
เมนูน้ำพริกมีหลายอย่างแต่ที่เป็นตัวชูโรงก็คือ น้ำพริกกากหมู ตามมาก็เป็นน้ำพริกตาแดง, น้ำพริกเผาผัดกากหมู, น้ำพริกเผาผัดกุ้งแห้ง, น้ำพริกไตปลาแห้ง, น้ำพริกกากหมู, น้ำพริกเผากุ้งแห้งโรยกากหมู นอกจากนี้ป้านกแก้วก็ยังทำแจ่วปลาร้าบองปลากระดี่ และขนมไทยโบราณ สลับกันไปในแต่ละวันอีกด้วย
ทำให้ปัจจุบัน ป้าแก้วมีลูกค้าประจำทั้งในเขต อ.บึงสามพัน และลูกค้าต่างจังหวัดติดต่อเข้ามาสั่งซื้อ สั่งจองกันล่วงหน้าทุกวัน ทำให้ทุกวันนี้ป้านกแก้วมีกำไรจากการขายน้ำพริก ตกวันละ 1,500-3,000 บาท
“จากที่ล้มลุกคลุกคลานเป็นหนี้ก้อนโต ตอนนี้ไม่มีหนี้แล้ว ยังไม่รวย แต่ก็พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ เท่านี้ก็มีความสุขแล้ว” ป้านกแก้ว เล่าถึงชีวิตตัวเองอย่างภาคภูมิใจ
คอลัมน์ : นิยายชีวิต โดย : อสงไขย
เรื่องและภาพโดย : กิตติ ตันติมาลา จ.เพชรบูรณ์
แนะนำเรื่องราวชีวิตดั่งนิยาย หรือสอบถามได้ที่ [email protected]