น.ส.ชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ เปิดเผยถึงทิศทางธุรกิจปี 65 ว่า ปีนี้บริษัทเน้นการเปลี่ยนผ่านสู่การเติบโตที่ยั่งยืน เพื่อเสริมความแข็งแกร่งธุรกิจหลัก คือ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ควบคู่การลงทุนในธุรกิจใหม่ที่หลากหลาย เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและพัฒนาธุรกิจให้ยั่งยืน มุ่งเป็นทุกคำตอบด้านธุรกิจพลังงานในอนาคต ผ่าน 3 กลยุทธ์ ประกอบด้วย 1.การยกระดับซัพพลายเชนเพื่อรองรับเทรนด์พลังงานในอนาคต โดยมุ่งสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจก๊าซแอลพีจีภายใต้แบรนด์เวิลด์แก๊ส ซึ่งยังคงเป็นธุรกิจหลักในการสร้างรายได้ในปีนี้ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาด นำนวัตกรรมมาพัฒนาระบบการดำเนินงาน และขยายช่องทางการจัดจำหน่าย
2.ขยาย Ecosystem ด้วยการบุกเบิกบริการใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าอย่างครบวงจร มุ่งสู่การเป็น Service & Energy Solution Provider โดยนำประสบการณ์กว่า 42 ปีในธุรกิจพลังงาน มาต่อยอดศักยภาพในการให้บริการและคำปรึกษาแก่ลูกค้า ควบคู่ไปกับการแสวงหาและนำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้และให้บริการลูกค้าทุกกลุ่มได้อย่างยืดหยุ่นตามความต้องการเฉพาะ รวมทั้งนำเสนอพลังงานทางเลือกและโซลูชั่นอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจที่แตกต่าง และสำหรับกลุ่มพาณิชยกรรม เช่น โรงแรม ร้านอาหาร จะร่วมเป็นพันธมิตรกับ Food Platform ต่าง ๆ ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ในแต่ละแพลตฟอร์ม
3.พัฒนาโซลูชั่นด้านพลังงานสะอาดเพื่อความยั่งยืน โดยตั้งเป้าการเซ็นสัญญาการซื้อขายไฟฟ้า จากโซลาร์รูฟท็อป และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์รวม 20 เมกะวัตต์ ในปี 65 ศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจใหม่ ๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และอยู่ในกระแสความสนใจในแวดวงธุรกิจพลังงาน
นายนพวงศ์ โอมาธิกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงินและบริหารองค์กร บมจ.ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ กล่าวว่า ปีนี้บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายก๊าซแอลพีจีรวมได้ 765,000 ตัน เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนที่มีปริมาณขายแอลพีจี 700,000 ตัน โดยปี 65 บริษัทจะส่งออกแอลพีจีไปยังต่างประเทศประมาณ 25,000 ตัน สามารถสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท เติบโต 5% จากปีที่ผ่านมา ส่วนผลประกอบการปี 64 น่าพอใจด้วยรายได้รวมกว่า 11,540 ล้านบาท พร้อมสร้างผลกำไรต่อเนื่องโดยมีผลกำไร 88 ล้านบาท แม้ยังต้องเผชิญความท้าทายจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตลอดทั้งปี