นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 64 ที่ผ่านมา มียอดขายรวม 13,131,858 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.1% มีกำไรสุทธิ 985,699 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การปรับตัวของราคาน้ำมันส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับสูงขึ้น การปรับรูปแบบธุรกิจไปสู่วิถีแบบใหม่ให้รับมือโควิด-19 และการผ่อนคลายมาตรการโควิดของไทย

“นับตั้งแต่เกิดโควิด-19 ในปี 63 พบว่า ผลประกอบการ บจ.ปรับลดลง โดยปี 62 มียอดขายที่ 11,935,110 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 880,150 ล้านบาท ส่วนปี 64 มียอดขายที่ 10,671,187 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 547,854 ล้านบาท และในปี 64 ที่ผ่านมานี้ถือว่าเป็นการฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว”

ทั้งนี้ ปัจจัยดังกล่าวมีส่วนสนับสนุนให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงานหลักดีขึ้นในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น พลังงาน ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี เหล็ก ขนส่ง (ทางเรือ) ธุรกิจการแพทย์และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ เช่น ถุงมือยาง และธุรกิจภาคการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมมีการฟื้นตัวอย่างมาก เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ วัสดุอุตสาหกรรม และชิ้นส่วนยานยนต์

ด้านผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ปี 64 มียอดขายรวม 171,238 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.3% และกำไรสุทธิ 8,438 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 273.6% ซึ่งหากพิจารณากำไรโดยไม่รวมรายการพิเศษ กำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 3,498 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 29.8% แม้ในปี 64 ยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19

อย่างไรก็ตาม มาตรการควบคุมจากภาครัฐที่มีการผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อเทียบกับในปี 63 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับหลาย บจ. สามารถบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 63 ส่งผลให้ บจ. ในตลาดเอ็ม เอ ไอ  มียอดขายและกำไรสุทธิเติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำไรสูงสุด 3 ลำดับแรก คือ กลุ่มบริการ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ตามลำดับ