เปาโล ฟอนเซกา กุนซือชื่อดังชาวโปรตุเกส ออกมาเผยถึงประสบการณ์เลวร้ายที่เขาและ คาเทรินา ภรรยาชาวยูเครน รวมถึงลูกชาย ต้องใช้เวลาถึง 30 ชั่วโมง ในการเดินทางหนีภัยสงครามจากกรุงเคียฟไปยังชายแดน ก่อนข้ามพรมแดนเข้าสู่มอลโดวาและโรมาเนียได้สำเร็จในที่สุด หลังเจ้าตัวและครอบครัว ต้องติดอยู่ท่ามกลางสมรภูมิหลังกองทัพรัสเซียบุกโจมตียูเครนอย่างหนัก ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ฟอนเซกา ซึ่งเวลาเดินทางกลับถึงประเทศโปรตุเกสบ้านเกิดพร้อมครอบครัวเรียบร้อยแล้วนั้น เล่าเหตุการณ์ระหว่างหนีไฟสงครามกับ “สกายสปอร์ตส์” สื่อดังในประเทศอังกฤษว่า “ดาริโย (ดาริโญ เซร์นา ผู้อำนวยการสโมสร ชัคตาร์ โดเนตส์ค) โหทรศัพท์มาและบอกผมว่าให้ไปหลบที่โรงแรมของท่านประธานสโมสรชัคตาร์ เราไปถึงที่นั่น และหลบอยู่ในหลุมหลบภัยตลอดทั้งคืน รวมแล้วเราหลบอยู่ในนั้น 1 วันครึ่ง โดยมีนักเตะบราซิลของชัคตาร์ และเจ้าหน้าที่ทีมหลบอยู๋ด้วย”

“ผมเริ่มคิดว่าสถานการณ์น่าจะมีแต่แย่ลง เราเลยติดต่อสถานทูตโปรตุเกส พวกเขาบอกว่าพรุ่งนี้เราจะส่งรถไปรับคุณ ผมเลยออกมาจากหลุมหลบภัยในตอนเช้า รถมารับเราที่โรงแรม แล้วจากนั้นเราก็เดินทางกันอย่างยาวนานไปที่ชายแดน มันอันตรายมาก ๆ เราเดินทางทั้งวันทั้งคืนโดยแทบไม่หยุดเลย ใช้เวลาน่าจะราว ๆ 30 ชั่วโมง ข้ามชายแดนเข้าสู่มอลโดวา และเข้าไปยังประเทศโรมาเนีย”

มีหลายครั้งที่เราเจอกองทัพยูเครนบนถนน แฃะเราต้องหยุด และต้องคอยฟังเสียงเตือนภัยทางอากาศบ่อยครั้ง แถมการจราจรก็หนาแน่นมาก ๆ หลายช่วงที่เราเดินทางได้ด้วยความเร็วแค่ 5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และในช่วงการเดินทางตอนกลางคืนมันก็อันตรายมาก ๆ หลายครั้งผมได้ยินเสียงเครื่องบินบินผ่านไป แต่ไม่เห็นว่ามีการยิงหรือสู้รบกันหรือเปล่า เราเดินทางไปพร้อมกับอีกครอบครัวหนึ่ง ซึ่งมีลูกน้อยวัย 6 เดือนอยู่ด้วย แต่สุดท้ายเราก็เดินทางถึงชายแดน และเริ่มรู้สึกปลอดภัย ซึ่งนั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด” ฟอนเซกา เผย