นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในปีนี้ ไทยและทั่วโลก เผชิญหน้ากับปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติพร้อมกัน คือ วิกฤติไวรัสโควิด-19, วิกฤติเงินเฟ้อ และวิกฤติสงครามยูเครน-รัสเซีย ได้ส่งผลกระทบราคาพลังงานโลก คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะเพิ่มสูงขึ้น อาจจะเห็นตัวเลขราคาน้ำมันโลกที่ 120 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ปัจจุบันน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 106.58 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เบรนท์ 118.11 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และเวสต์เท็กซัส 110.07 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล น้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตสินค้าและขนส่ง ก็จะทำให้ราคาสินค้าและค่าขนส่งยิ่งแพงขึ้น กระทบทั้งค่าครองชีพและภาคการส่งออก

รวมทั้งสภาวะเงินเฟ้อที่มาพร้อมกับเงินฝืด จะส่งผลต่อเศรษฐกิจทั้งในระดับครอบครัวและมหภาค ซึ่งเป็นภาวะที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ไทยเองก็ไม่แตกต่าง เพราะเราเป็นประเทศนำเข้าน้ำมัน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรอย่างต่อเนื่อง

หลังการประชุมคณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งเดินหน้า มาตรการเร่งด่วนใน 3 แนวทางหลัก คือ ลดภาระค่าใช้จ่ายเพื่อดูแลประชาชน บรรเทาภาระหนี้สิน โดยให้ปีนี้เป็น “ปีแห่งการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน” และเร่งการลงทุนภาครัฐ/เอกชน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับประชาชนอย่างทั่วถึง

ซึ่งในวันพุธที่ 9 มีนาคม นี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อกำหนดมาตรการด้านพลังงาน ซึ่งจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 15 มีนาคม เพื่อเร่งรัดให้มีผลบังคับใช้ เพื่อบรรเทาภาระของประชาชนโดยเร็ว

“ผมอยากขอวิงวอนนักวิเคราะห์ชาวเน็ตทั้งหลาย เข้าใจการขึ้น-ลงของราคาพลังงานโลก หรือการสู้รบเหล่านี้ ล้วนเป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของรัฐบาล ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีประชุมหารือกับคณะทำงานเพื่อวางแผนและออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอน ซึ่งต้องอาศัยทุกฝ่าย เอกชน ผู้ประกอบการ รวมทั้งประชาชน ร่วมมือกับรัฐบาล ช่วยกันเดินหน้าประเทศ มั่นใจว่า ไทยก็ผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งนี้ไปได้”