สถานการณ์สู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครน ซึ่งปะทุเมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา มีแนวโน้มยืดเยื้ออีกนาน อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กล่าวถึงกรณีความสัมพันธ์กับองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ว่า หากไม่มีโอกาสได้เข้าเป็นสมาชิก “เนื่องจากรัสเซียต้องการเช่นนั้น” รัฐบาลเคียฟอาจต้องอยู่ในสถานะ “เป็นกลางทางทหาร” ตามความประสงค์ของรัสเซีย

ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน

การมีสถานะเป็นกลางทางทหาร หรือ รัฐที่เป็นกลาง ตามที่ระบุอยู่ในอนุสัญญาเฮก ฉบับปี 2442 และ 2450 คือการดำเนินนโยบายที่ไม่เข้าไปร่วมวงเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งใด และไม่เป็นสมาชิกพันธมิตรทางทหารระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ การวางตัวเป็นกลางทางทหารเป็นแนวทางที่สามารถใช้คลี่คลายความขัดแย้งมาได้แล้วหลายต่อหลายครั้ง หนึ่งในตัวอย่างสำคัญ คือการที่สวิตเซอร์แลนด์ประกาศสถานะเป็นกลาง เมื่อปี 2358 เพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างออสเตรียกับฝรั่งเศส เบลเยียมและลักเซมเบิร์กประกาศตัวเป็นกลาง เพื่อบรรเทาความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมนี และการเป็นเอกราชของออสเตรีย เมื่อปี 2498 เป็นไปตามการลงนามระหว่างสหภาพโซเวียต สหรัฐ สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส โดยมีเงื่อนไขสำคัญ คือ ออสเตรียต้องไม่เป็นสมาชิกนาโต ซึ่งสหภาพโซเวียตถือว่า “เป็นภัยคุกคาม”

ในส่วนนโยบายต่างประเทศของยูเครนนั้น มีการถกเถียงเรื่องความเป็นกลางมาตลอด ย้อนกลับไปเมื่อปี 2533 ซึ่งยูเครนยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต สภาผ่านมติว่าด้วย “การประกาศอธิปไตย” ที่มีสาระสำคัญว่า หากยูเครนเป็นรัฐเอกราชในสักวันหนึ่ง จะวางบทบาท “เป็นกลางอย่างถาวร”

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย

ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต แน่นอนว่ายูเครนเป็นเอกราช มีสถานะเป็นหนึ่งในรัฐแห่งใหม่บนโลก รัฐบาลเคียฟประกาศ “เสาหลักของนโยบายต่างประเทศ” ซึ่งระบุชัดเจนเกี่ยวกับ “สถานะเป็นกลาง ไม่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ และไม่เข้าร่วมกับฝ่ายใด” รัฐบาลเคียฟร่วมลงนามใน “คำประกาศบูดาเปสต์” เพื่อนำไปสู่การเป็นภาคีสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (เอ็นพีที) ที่กรุงบูดาเปสต์ เมืองหลวงของฮังการี เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2537 ร่วมกับเบลารุส คาซัคสถาน รัสเซีย สหรัฐ และสหราชอาณาจักร

ยูเครน เบลารุส และคาซัคสถาน มอบอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธทั้งหมดที่มีอยู่ ให้รัสเซียนำไปทำลาย เพื่อแลกกับหลักประกันทางเศรษฐกิจและความมั่นคง อย่างไรก็ตาม การรักษาสถานะความเป็นกลางของยูเครน “เริ่มเปลี่ยนแปลง” นับตั้งแต่สมัยของประธานาธิบดีวิกเตอร์ ยุชเชนโก เมื่อปี 2548 และกลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่ปะทุในที่สุด เมื่อปี 2557 และสร้างแรงกระเพื่อมมาจนถึงปัจจุบัน

ปัจจุบัน สหประชาชาติ (ยูเอ็น) เป็นองค์การระหว่างรัฐบาลซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกดังที่ทุกฝ่ายทราบกัน มีสมาชิก 193 ประเทศ และสถานะผู้สังเกตการณ์สำหรับ วาติกัน และปาเลสไตน์

อย่างไรก็ดี ในเวลาเดียวกัน ยังมีการรวมกลุ่มระหว่าง 120 ประเทศ ซึ่งไม่ร่วมเป็นทั้งพันธมิตร หรือต่อต้านกับขั้วอำนาจฝ่ายใดอย่างชัดเจน ในนาม การเคลื่อนไหวไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด หรือกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Non-Aligned Movement) หรือ “เอ็นเอเอ็ม” ถือเป็นองค์การระหว่างรัฐบาลขนาดใหญ่อันดับสอง รองจากยูเอ็น และไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกของเอ็นเอเอ็มเช่นกัน ส่วนยูเครนมีสถานะผู้สังเกตการณ์

ในกรณีที่ทางออกของยูเครนต้องมาหยุดที่ สถานะเป็นกลาง แต่ชัดเจนว่า คราวนี้รัสเซียต้องการข้อกำหนดที่มากกว่าสนธิสัญญาสถาปนาความเป็นรัฐให้กับออสเตรีย และเงื่อนไขผูกมัด ที่แตกต่างจากสนธิสัญญาระหว่างสหภาพโซเวียตกับฟินแลนด์ เมื่อปี 2491 ซึ่งมีการระบุว่า ภาคีของสัญญาสามารถขอยกเลิกกรอบความร่วมมือได้ เมื่อพ้นรอบเวลาทุก 5 ปี โดยต้องแจ้งล่วงหน้าให้อีกฝ่ายทราบอย่างน้อย 1 ปี

ท่ามกลางสภาวการณ์เช่นนี้ “ความเป็นกลาง” อาจเป็นทางออกดีที่สุด เพื่อคลี่คลายความขัดแย้ง และรักษาสมดุลทางการทูต แต่ในขณะที่ “ความเท่าเทียมไม่มีอยู่จริง” หมายความว่า ยังคงต้องมีฝ่ายที่ได้เปรียบกว่าอยู่เหมือนเดิม และอยู่ที่ว่า ฝ่ายซึ่งต้อง “ได้เปรียบน้อยกว่า” จะยอมรับได้หรือไม่เท่านั้น.

ภัทราพร ไพบูลย์ศิลป

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES, REUTERS