นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซียนั้น ยอมรับว่ากระทบไปทั่วโลก รวมทั้งไทย โดยเฉพาะในเรื่องของราคาน้ำมันดิบที่ขณะนี้พุ่งแตะที่ 90-100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลแล้ว แต่เชื่อว่าจากการที่หลายประเทศตะวันตกเข้าไปช่วยเจรจานั้น จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นและไม่บานปลาย แต่ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อย่างไรก็ตามจากปัญหาความขัดแย้ง ยังกระทบต่อการค้า และภาคการท่องเที่ยว
นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ห่วงว่าความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซียจะมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวไทย เนื่องจากรัสเซียเป็นตลาดใหญ่ ติดท็อป 5 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยี่ยมเยือนไทยมากสุด อีกทั้งยังเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพมีกำลังใช้จ่ายสูง ขณะที่กลุ่มยูเครนในช่วงนี้ก็จะมีการหนีหนาวมาเที่ยวเมืองไทยเช่นกันในรูปแบบครอบครัว นอกจากนี้ยังต้องติดตาม สถานการณ์หากมีความรุนแรงเพิ่ม จนต้องปิดน่านฟ้า อาจจะส่งผลกระทบต่อเที่ยวบินระหว่างประเทศจากยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะมีผลต่อไทยด้วย
อย่างไรก็ตามขณะนี้ ททท.ยังไม่มีการปรับลดเป้าหมายการท่องเที่ยวโดยยังคงจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติไว้ที่ 10 ล้านคน และเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท แยกเป็นจากต่างชาติ 6 แสนล้านบาท และชาวไทย 6 แสนล้านบาท ส่วนสถิตินักท่องเที่ยวชาวรัสเซียที่มาไทยในปีนี้ เดินทางเข้ามาแล้วเกินกว่า 10,000 คน
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ปัจจัยสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน ยังคงเป็นปัจจัยที่นักลงทุนทุกคนต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งคาดเดาไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่มองว่าปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาพรวมต่างๆ ในโลก โดยเฉพาะราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่จะเห็นได้ชัดว่ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเป็นปัจจัยที่บริษัทจดทะเบียน จะต้องนำมาพิจารณาถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นว่า จะต้องมีการเตรียมตัวและปรับตัวอย่างไร และในส่วนนักลงทุนเองจะต้องมีการติดตามข่าวสารและวิเคราะห์ปัจจัยเพื่อนำมาใช้ประกอบการลงทุน