ที่ห้องประชุมชั้น 3 อาคารศูนย์ราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา สถาบันพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายพลเรือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) จัดการประชุมคณะกรรมการตัดสินผู้มีผลงานดีเด่นของจังหวัดชายแดนภาคใต้ประจำปี 2563 ผ่านระบบ วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ (Video Conference) โดยมีคณะกรรมการตัดสินในแต่ละพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยในการประชุมมีการกล่าวถึงการคัดเลือกผู้ที่มีผลงานดีเด่น จชต. ว่าเพื่อเป็นการเสริมสร้างขวัญกำลังใจยกย่องเชิดชูเกียรติและเผยแพร่ผลงานของผู้ที่มีผลงานดีเด่นให้เป็นที่ประจักษ์ในการสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

สำหรับการประชุมครั้งนี้มีนายอิสระ ละอองสกุล ผู้อำนวยการกองประสานและเร่งรัดการพัฒนาพื้นที่พิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ ศอ.บต. เป็นประธานในการประชุม พร้อมด้วยผู้อำนวยการกอง/กลุ่มงาน ศอ.บต. และคณะกรรมการตัดสินผู้มีผลงานดีเด่นของ จชต. ร่วมประชุมและพิจารณาร่วมกัน ซึ่งในที่ประชุมมีมติเห็นชอบ ผู้มีผลงานดีเด่นของแต่ละจังหวัด จาก 10 กลุ่ม ตามระเบียบ ศอ.บต. ว่าด้วยการพิจารณาคัดเลือกผู้ที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่นในรอบปี พ.ศ. 2558 ประกอบด้วย กลุ่มข้าราชการ ระดับหัวหน้าส่วนราชการ หรือเทียบเท่ากลุ่มข้าราชการระดับผู้ปฏิบัติ หรือเทียบเท่า กลุ่มครูและบุคลากรทางการศึกษา กลุ่มผู้ปฏิบัติงานอื่นในหน่วยงานของรัฐ กลุ่มผู้นำท้องที่และผู้นำท้องถิ่น กลุ่มสตรี เด็กและเยาวชน กลุ่มผู้นำศาสนาหรือผู้ส่งเสริมทำนุบำรุงศาสนา กลุ่มผู้ประกอบการ กลุ่มองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร และกลุ่มข้าราชการหรือผู้ที่ให้ความช่วยเหลือศอ.บต. 

สำหรับคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิได้รับการพิจารณาคัดเลือก ประกอบด้วย ต้องเป็นผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่น้อยกว่า 2 ปี เป็นผู้ที่ไม่เคยถูกลงโทษทางวินัย หรือทางอาญา เป็นผู้ที่ไม่เคยได้รับการคัดเลือกเป็นผู้ที่มีผลงานดีเด่นของ จชต. มาก่อน และจะต้องเป็นผู้ที่มีผลงานที่ตอบสนองและเชื่อมโยงการพัฒนาและแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างไรก็ตามการประชุมในวันนี้ ได้มีการเสนอรายชื่อผู้มีผลงานดีเด่นของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปี 2563 ซึ่งในปีนี้ 5 จชต. ได้พิจารณาคัดเลือกบุคคลที่มีผลงานดีเด่น และเสนอรายชื่อพร้อมเอกสารผลงานให้ ศอ.บต. เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาตัดสินให้เป็นผู้ที่มีผลงานดีเด่นของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งสิ้นจำนวน 9 กลุ่ม จำนวน 45 คน และมีบุคคลสำรองอีกจำนวน 19 คน รวมทั้งสิ้น 64 คน