ถือเป็นอีกผลงานรับวาเลนไทน์ที่หลายคนรอคอย สำหรับ “One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ” ภาพยนตร์รัก ที่จะทำให้ทุกคนได้ตั้งคำถามว่า “คุณอยากยูเทิร์นกลับไปรักใครในวันสุดท้ายของชีวิต?” ผลงานกำกับ มากฝีมือ อย่าง บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ และยังได้ผู้กำกับระดับโลก หว่องกาไว มานั่งแท่นดูแลงานสร้าง พร้อมทัพนักแสดงมากความสามารถ อย่าง ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร และ ไอซ์ซึ-ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์ ร่วมด้วย ออกแบบ-ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง, วี-วิโอเลต วอเทียร์, พลอย หอวัง, นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา และ หญิง-รฐา โพธิ์งาม ที่จะมารับบทเหล่า “แฟนเก่า” และถ่ายทอดเรื่องราวความรักสุขปนเศร้า ผ่านตัวละคร “อู๊ด” (ไอซ์ซึ) ที่ชีวิตมาถึงโค้งสุดท้ายเร็วกว่าที่คิด ด้วยอาการป่วยเป็นมะเร็ง เลยตัดสินใจชวน “บอส” (ต่อ) เพื่อนรักเจ้าของบาร์จากนิวยอร์ก มาช่วยออกตามหา “แฟนเก่า” ทั้งหลายในอดีตที่ติดอยู่ในความทรงจำ ทั้งเธอที่เคยรัก เธอที่ยังคิดถึง และเธอที่อยากขอบคุณและขอโทษเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ทริปของเพื่อนทั้งสองจะต้องสิ้นสุดลง ซึ่งเรื่องนี้สามารถคว้ารางวัลระดับโลกจาก “เทศกาลหนังซันแดนซ์ (Sundance Film Festival)” อีกด้วย วันนี้ “มูฟวี่โซน” เลยขอพาแฟน ๆ ร่วมออกเดินทางไปกับทริปสุขปนเศร้านี้ พร้อมร่วมพูดคุยกับเหล่านักแสดงและผู้กำกับกันแบบจัดเต็ม

ร่วมงานกับผู้กำกับระดับโลก “หว่องกาไว”

เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งความพิเศษของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ได้ หว่องกาไว ผู้กำกับระดับโลก มารับหน้าที่ดูแลงานสร้าง ซึ่ง บาส ผู้กำกับ เปิดใจถึงผู้กำกับในดวงใจก่อนว่า “คือพี่หว่องเป็นคนแรก ๆ ที่ติดต่อมา เมื่อปลายปี 2017 เป็นปีที่ ‘ฉลาดเกมส์โกง’ ชนะรางวัล ถ้าเป็นพี่หว่องใครจะปฏิเสธลง ผมก็ตัดสินใจบินไปหาเขาเลย ตอนแรกก็มีคิดว่าพี่หว่องจริงหรือเปล่า (ยิ้ม) แต่พอบินไปเจอตัว ก็เป็นพี่หว่องจริง ๆ พูดคุยกันแป๊บเดียวก็ตัดสินใจตกลงเลย ตัดสินใจง่ายมากครับ”

ด้าน ออกแบบ บอกต่อ “เราทัวร์ ‘ฉลาดเกมส์โกง (Bad Genius)’ ประมาณ 2 ปี จำได้เลยว่าแม็กกาซีนที่ไปสัมภาษณ์ที่ฮ่องกงถามว่า อยากทำงานกับผู้กำกับคนไหนมากที่สุด เราก็ตอบไปเลยว่าคุณหว่องกาไว ครั้งนี้เป็นโอกาสและยังได้กลับมาทำงานกับพี่บาสอีกด้วย ก็เหมือนกลับบ้าน การทำงานกับพี่บาสเราเชื่อใจรอยเปอร์เซ็นต์ มันอบอุ่นและเราก็ทำเต็มที่ค่ะ”

ไอซ์ซึ เสริมว่า “ส่วนตัวยังไม่เคยเจอตัวจริงของพี่หว่อง จะมีแค่วิดิโอคอล แต่ทางพี่หว่องจะมีโปรดิวเซอร์มาอยู่ที่กองมาดู ซึ่งเรารู้สึกเหมือนการทำงานของเรา การถ่ายทำจะมีพี่หว่อง ซึ่งเป็นผู้กำกับระดับโลก มาดูการแสดงของเราด้วย ทำให้ตัวผมเองต้องทำให้เต็มที่ที่สุด เพราะมีสายตาของผู้กำกับระกับนี้จับจ้องอยู่ รวมทั้งพี่บาสด้วยครับ”

หยิบประสบการณ์ “แฟนเก่า” ส่วนตัวมาเล่าเป็นเรื่องราวสุขปนเศร้า!

เมื่อถามว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นประสบการณ์ส่วนตัวในเรื่อง “แฟนเก่า” ของผู้กำกับด้วย บาส ตอบว่า“ต้องบอกก่อนว่าตอนเริ่มต้นคุยกับพี่หว่อง ไม่ใช่สตอรี่นี้เลย มันเป็นเรื่องอื่นไปเลย เราใช้เวลาในการพัฒนาบทเรื่องนั้นประมาณ 9 เดือน ก่อนที่จะมองหน้ากันแล้วคิดว่ามันไม่ใช่ ก็ทิ้งบทเรื่องนั้นไปและมาเริ่มต้นใหม่ ตอนที่เริ่มต้นมีคำถามนึงที่คุณหว่องกาไวถามผม และผมรู้สึกว่ามันเป็นคำถามที่ดีมาก เรานั่งคุยกันและค้นว่าเราจะทำสตอรี่เกี่ยวกับอะไร เขาก็ถามผมมาว่า ‘Who are you and what do you want to do before you die’ (คุณเป็นใคร แล้วคุณอยากทำอะไรก่อนตาย)’ ผมก็กลับไปคิดแล้ววันรุ่งนี้ก็ได้พลอตหนังเรื่องนี้ออกมาครับ ซึ่งโปรเจคท์นี้ใช้เวลาทำนานเหมือนกัน ตั้งแต่ตอบตกลงเขียนบท จนมาถึงวันนี้ ประมาณ 3 ปีได้ แต่เอาจริง ๆ ก็ไม่ได้รู้สึกนานขนาดนั้น เพราะเวลาที่ผมทำหนัง ก็ใช้เวลาประมาณนี้เหมือนกันในการทำมาออกมาสักเรื่อง แต่เรื่องนี้มันผ่านเหตุการณ์และประสบการณ์หลายอย่าง รวมทั้งผ่านโควิด ที่ทำให้หลายอย่างมีจังหวะหยุดพักไปบ้าง ซึ่ง ณ วันนี้พอได้เห็นงาน ในฐานะผู้กำกับเราดูงานก็มักเห็นสิ่งที่ทำไมเราไม่ทำตรงโน้นหรือตรงนี้ แต่พอมันผ่านมา 3 เรื่อง เราเรียนรู้ที่จะยอมรับมัน คือการทำหนังถ้ามีข้อจำกัด ก็จะไม่มีวันเสร็จ เราจะอยากปรับแก้ แต่สุดท้ายเราต้องเชื่อว่าด้วยช่วงเวลาแบบนี้ นี่คือสิ่งที่ดีที่สุด ที่ควรเกิดขึ้นกับหนังเรื่องนี้”

ถ้าถามผมด้วยสตอรี่อาจต้องเศร้า แต่สุดทายด้วยแอดติจูดในการทำของเรา เราพยายามมองสตอรี่นี้ด้วยมุมมองที่มีความหวัง และมันเหมือนสุดท้ายทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ในช่วงเวลานี้เรามีหน้าที่ต้องพยายามทำสิ่งที่มีในปัจจุบันให้มันดีที่สุด เพื่อเส้นทางที่ยังเหลืออยู่ในชีวิตเรา เลยรู้สึกว่ามันคงเป็นความรู้สึกที่สุขปนเศร้า ผสมกันไป” ผู้กำกับฝีมือดี เปิดใจ

ลงลึกกับทุกตัวละคร

นอกจากเนื้อเรื่องที่ถูกปั้นแต่งออกมาย่างละเมียดละไม อีกหนึ่งเสน่ห์ของ “One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอฝาก” คือความลึกและสมจริงของตัวละคร ซึ่ง บาส เล่าให้ฟังว่า “ความพิเศษของเรื่องอยู่ตรงที่หลาย ๆ ตัวละครในเรื่องนี้ ผมเบสออนจากคนที่มีตัวตนจริง ๆ ในฐานะคนทำงาน เราต้องให้เกียรติคนเหล่านั้น ในการดึงความทรงจำที่ผมมีกับเขาต่อตัวเขามาเป็นต้นทุนในการทำงาน เลยต้องลงลึกและทำยังไงก็ได้ให้แน่ใจว่าเราจะถ่ายทอดเสน่ห์ ถ่ายทอดความทรงจำที่มีต่อเขาให้ดีที่สุด ในฐานะผู้กำกับครับ”

ต่อ – ไอซ์ซึ” เคมีดีเว่อร์! ลงตัวทุกคาแรกเตอร์

สำหรับนักแสดงแต่ละคน ล้วนถ่ายทอดบทบาทของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่ง บาส ได้เปิดใจว่า “จริง ๆ ผมว่าเรื่องนี้มันพิเศษตรงที่ตอนผมเขียนบทหนังที่ผ่านมา เราจะมีภาพนักแสดงในใจ แต่เรื่องนี้ตอนแรกเราไม่ได้มีภาพนักแสดงทุกคนอยู่ในหัวเลย แต่ว่าสิ่งที่พิสูจน์ได้คือการได้เห็นเทปแคสติ้ง ที่ต้องขอบคุณทุกคนมากที่มาช่วยแคสให้คุณหว่องกาไวดู”

นอกจากนี้ บาส ยังยอมรับว่าชื่นชอบเคมีของตัวละครที่ส่งให้แก่กันได้อย่างลงตัวลงตัว โดยเฉพาะ ต่อ และ ไอซ์ซึ ที่ถ่ายทอดความเป็นเพื่อนรักกันออกมาได้อย่างสมจริงจนน่าประทับใจ! บาส เล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ทั้งคาแรกเตอร์ ‘บอส’ และ ‘อู๊ด’ ในเรื่องมันก็เศษเสี้ยวความเป็นผมผสม ๆ อยู่ครับ ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่าง ‘บอส’ และ ‘อู๊ด’ นั้น จริง ๆ ผมว่าพอมันเป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องของบัดดี้ สิ่งสำคัญคือเคมีของนักแสดง ซึ่งต้องยอมรับว่าคุณต่อและคุณไอซ์ซึ มีเคมีที่เข้ากันได้ดีอย่างประหลาดครับ และมันทำให้ทุกซีนที่เขาร่วมเฟรมกัน อยู่ในฉาก รับส่งบทกัน เราเชื่อว่าคู่นี้เป็นเพื่อนรักกันจริง ๆ โดยที่ไม่ต้องพูดเยอะ ซึ่งผมว่ามันพิเศษและต้องขอบคุณนักแสดงที่เขาทำหน้าที่ได้อย่างดีครับ”

นอกจากนี้ บาส ยังเผยถึงเหล่านักแสดงสาว ๆ ที่มารารับบทเป็น “แฟนเก่า” ว่า “สำหรับวี ผมได้ทำงานด้วยกันมาหลายจ๊อบแล้ว ต้องบอกว่าวีกับคาแรกเตอร์ ‘พริม’ ต่างฝ่ายต่างเชฟกัน ตอนที่ผมเขียนคาแรกเตอร์นี้ขึ้นมา ก็มีภาพในหัวประมาณนึง พอรู้ว่าวีมาเล่น ก็ดึงเสน่ห์ในความเป็นวี เอามาปรับใช้กับตัวละคร สุดท้ายความเป็นวิโอเลต และ ‘พริม’ ในเรื่องมันคู่ขนานกันไป สุดท้ายไปรวมกันและครีเอทคาแรกเตอร์ ‘พริม’ ออกมาได้ ส่วนพลอย พอเราสนิทกับเขา ตอนแรกที่คุยคาแรกเตอร์นี้ ก็ยังไม่มีภาพเขาในหัว แต่คุยไปคุยมาพี่พลอยเหมือนเพชรในตม เขาเป็นคนที่มีของ ที่รอจังหวะปล่อย เลยลองชวนมา ซึ่งไม่ใช่ผมคนเดียวที่เลือก แต่คุณหว่องกาไวก็เลือกพี่พลอยด้วย เป็นคนที่จิ้มมาเลยว่าเป็นคนนี้ และ ออกแบบ จะบอกว่าวันที่ถ่ายออกแบบในซีนหลัง ๆ เรารู้สึกเซอรไพร้ส์มาก เพราะระยะเวลา 2-3 ปี หลังจาก ‘ฉลาดเกมส์โกง’ เรารู้สึกว่าน้องออกแบบเก่งขึ้นเยอะ โตขึ้นเยอะ และมืออาชีพมาก ๆ เรารู้สึกเหมือน พราวด์ แดดดี้ โหมด (Proud Dad Mode)”

ไอซ์ซึ” กับการทุ่มหมดตัวในการสร้างตัวละคร “อู๊ด”

สำหรับ ไอซ์ซึ – ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์ นักแสดงมากความสามารถ ได้รับอีกบทสุดท้าทายในชีวิต อย่าง “อู๊ด” ที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และกำลังจะจากโลกนี้ไป ซึ่งเขามีความปารถนาสุดท้าย คือการเดินทางไปเจอบรรดา “แฟนเก่า” เพื่อบอกลา ซึ่งเรื่องนี้หนุ่ม ไอซ์ซึ ต้องลดน้ำหนัก 17 กิโล ภายในเวลาไม่ถึง 2 เดือน นักแสดงหนุ่มเผยว่า “เรื่องนี้ผมลดน้ำหนักไป 17 กิโลครับ แต่ก่อนลด ผมต้องเพิ่มน้ำหนักขึ้นไปก่อน ผมรับบท ‘อู๊ด’ เป็นเด็กเสิร์ฟ ทำงานอยู่ร้านอาหารไทยที่นิวยอร์ค เราเลยลองไปสำรวจชีวิตและคลุกคลีอยู่หลังร้านกับคนที่ทำร้านอาหารที่นิวยอร์ค และที่ร้านในนิวยอร์ค ก็เป็นโลเคชั่นที่เราถ่ายทำด้วย ก็จะได้ชินสถานที่ และได้รู้ว่าการเป็นเด็กเสิร์ฟมีเวลาใช้ชีวิตน้อย เลิกงานก็ดึก ทำให้เขาต้องกินของตอนกลางคืน เพราะไม่มีเวลากิน และกินอาหารฝรั่ง ก็ทำให้น้ำหนักขึ้นมาโดยอัตโนมัติโดยที่ไม่ได้คาดหวังไว้ ก็ขึ้นมาเป็นสิบกิโล เพราะฉะนั้นตอนที่เรากลับมาถ่ายทำที่เมืองไทย และเป็นพาร์ทที่ผมเป็นมะเร็ง ทำให้ต้องน้ำหนักฮวบมาเลย ก็ลงมา 17 กิโลกรัม

ซึ่งผมมีประสบการณ์ในการลดน้ำหนักมาแล้ว จากการเล่นโปรเจคท์ก่อนหน้านี้ เลยทำให้เรารู้จักร่างกายตัวเองมากขึ้น วิธีลดน้ำหนักของผมหลัก ๆ ก็ทานน้อยลง เสริมเรื่องการออกกำลังกายเข้าไปด้วย มีการว่ายน้ำ คาดิโอ ซึ่งที่ดูเหมือนผอมแบบป่วย คือผมว่ามันไม่ใช่เรื่องกายภาพอย่างเดียว เหมือนอินเนอร์ของเรา เราฝังตัวละครเข้าไปในตัวเราเองว่าเป็นผู้ป่วย มันก็เริ่มซึมข้ามา มันไม่ใช่เรื่องการลดน้ำหนักอย่างเดียว แต่เป็นในแง่ของจิตใจ และส่งผลต่อทางร่างกายของเรา ทั้งการเดิน นั่ง พูด เสียง มันก็ลงไปเอง เป็นเสียงแบบไม่ค่อยมีแรง”

สำหรับการมาสวมบทผู้ป่วยมะเร็ง หนุ่ม ไอซ์ซึ ซึ่งเป็นนักแสดงสาย Method ก็ทำการบ้านหนักสุด โดยเจ้าตัวเผยว่า “การสวมบทบาทคนที่ป่วยเป็นมะเร็ง เริ่มต้นผมไปที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ไปคุยกับคุณหมอและพยาบาล สำรวจว่าผู้ป่วยมะเร็งมีอาการยังไงบ้าง ถามจากการคุณหมอ และไปที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อไปคุยกับคุณหมอเหมือนกัน และอยู่กับแผนกที่เป็นโรคมะเร็งกับที่ตัวละคร ‘อู๊ด’ เป็นคือโรคลูคีเมีย ซึ่งพี่บาสมีเพื่อนที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง เลยชวนเพื่อนเขามาคุยกับผม เพื่อทำการรีเสิร์ชโรคมะเร็ง และได้ดูเรื่องกายภาพจากพี่เขาว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งในระยะนี้ มีน้ำหนักเท่าไหร่ เดินยังไง ร่างกาย สภาวะจิตใจเป็นยังไง ผมก็ได้สำรวจตรงนั้นครับ”

ซึ่ง ไอซ์ซึ ได้ลงลึกด้านจิตใจของตัวละครอย่างจริงจัง โดยมีการรีเสิร์ชทั้งที่ “เสถียรธรรมสถาน” และองค์กร “Peaceful Death” ซึ่งเขาเล่าว่า “หลังจากนั้นก็มีรีเสิร์ชด้านจิตใจตัวละคร มีไปที่เสถียรธรรมสถาน เพราะแม่ชีศันสนีย์ ก็ทำเกี่ยวกับเรื่องการรักษาบำบัดทางกายด้วยใจ ผมก็ไปทำมา และก็มีครูแอคติ้งโค้ชแนะนำกิจกรรมเตรีมตัวก่อนตาย ขององค์กร พีซฟูล เดธ (Peaceful Death) ผมก็บินไป จ.ลำปาง และได้เจอกับ พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ก็เอาเรื่องตัวละครนี้ไปปรึกษากับพระอาจารย์ และเอาสิ่งที่พระอาจารย์พูดมาประยุกต์ให้กับตัวละครนี้ครับ ก็พยายามทำให้ลึกที่สุดและถ่ายทอดผู้ป่วยโรคมะเร็งอย่างเข้าใจที่สุด ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก”

รวมทั้งยังขอชี้แจงเหตุที่ ไอซ์ซึ ไม่ยอมสุงสิงกับเพื่อน ๆ ในกองถ่าย  พักกองก็ไม่พูด ยังเป็น “อู๊ด” ตลอดเวลาโดยเจ้าตัวบอกว่า “มีพาร์ทหลัง ๆ ที่ผมไม่พูด เพราะเวลาที่อยู่ในกองถ่าย ผมหิวมาก (หัวเราะ) เวลาไปคุยกับเขา เขาพักและกินข้าวกันอยู่ ผมก็ไม่อยากไปสุงสิงเท่าไหร่ เพราะเห็นอาหารแล้วมันหิว เลยปลีกวิเวก แยกตัวออกมาครับ”

นอกจากนี้ ไอซ์ซึ ยังเผยถึงความประทับใจ โดยเฉพาะบรรยากาศการถ่ายทำที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ไอซ์ซึ เผยว่า “สนุกครับ ผมไม่เคยไปนิวยอร์กมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกและยิ่งไปเจอทีมงานคนไทยที่โน่นด้วย ที่มาช่วยทำหนังเรื่องนี้และเจอทีมงานฝรั่งด้วย ก็ทำให้เราได้รู้สึกว่าเราเป็นทีมเดียวกันแม้คุยคนละภาษา การมีคนไทยอยู่ที่โน่นด้วย ยิ่งทำให้เรารู้สึกอบอุ่นเป็นครอบครัว ได้ความเป็นทีมเวิร์คเยอะ ไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไร หรือซีนรถไฟใต้ดิน ก็ไปทั้งทีม กล้องก็ลงไปที่รางด้วย 1 วันเต็ม ๆ เพื่อจะเตรียมตัว เป็นโปรโตคอล (Protocol) ของเขาว่าคุณต้องทำข้อเขียนเสร็จและปฏิบัติด้วย ทั้งทีมเราก็ลงไปด้วยกัน สิ่งนี้แหละทำให้ผมประทับใจกับการทำงานที่นิวยอร์กครับ”

ภาพยนตร์เรื่องนี้ผมได้เกือบทุกด้านของชีวิต ทั้งในแง่ชีวิตตัวเอง ได้ร่วมงานกับทีมงานไทยในต่างประเทศ ได้ร่วมกับผู้กำกับระดับโลก ที่มาเป็นโปรดิวเซอร์ ได้ร่วมงานกับพี่บาส ได้ประสบการณ์ที่ได้ค้นพบความหมายของชีวิต หรือเรื่องของการเป็นโรค ความตาย ผมได้กลับมาเยอะมาก และภูมิใจที่ได้เล่นโปรเจคท์นี้” ไอซ์ซึ เปิดใจ

ต่อ” กับผลงานที่พัฒนาอีกขั้น พร้อมเผยภาพลักษ์ที่หลายคนไม่เคยเห็นผ่านบท “บอส”

สำหรับ “บอส” เป็นอีกตัวละครที่พระเอกหนุ่มมากฝีมือ ต่อ – ธนภพ ลีรัตนขจร เผยว่า ทำให้เขาได้พัฒนาขึ้นมาก และยังสามารถก้าวข้ามความเขิน ความกลัว เพื่อโชว์ด้านที่แตกต่างให้แฟน ๆ ได้เห็น

ต่อ เผยว่า “สำหรับหนังเรื่องนี้ต่างจากบทที่ผมเคยเล่นเป็นมัธยมหรือมหาลัยเยอะเลย แต่มันอาจไม่ได้ฉีกถึงเบอร์นั้น เพราะทุกคนจะได้เห็นผมตอนเด็กอยู่ดี แต่ลุคใหม่ที่ออกมามันใหม่จริง เพราะอายุจริงของตัวละครคือ 36 ซึ่งเป็นอายุเยอะสุดเท่าที่ผมรับบทมา จริง ๆ มันมีการแต่งที่ผิวหน้า และด้วยเมคอัพช่วยเราด้วย บวกกับเราโตขึ้นด้วย เราผ่านงานแสดงมาเรื่อย ๆ พอเรามีประสบการณ์มากขึ้น บวกกับเรามีทีมงานที่แข็งแกร่ง เขาพร้อมซัพพอร์ต พาให้เราไปถึงจุดนั้นได้ ต้องขอบคุณทุกฝ่ายที่สร้างมันขึ้นมาและทำให้ผมไปถึงที่ใหม่ ๆ ที่ผมเคยไปถึงครับ

ซึ่งจากการต้องมารับบท “บาร์เทนเดอร์” ทำให้ ต่อ ต้องทำการบ้านอย่างหนัก โดยเจ้าตัว เผยว่า “สำหรับการทำการบ้าน ที่เห็นชัด ๆ เลยคือเรื่องของอาชีพ พอเป็นบาร์เทนเดอร์ ก็มีไปเทรนด์อยู่ที่บาร์ตรงสุขุมวิท อยู่พักใหญ่ ๆ เลยครับ มันเป็นเรื่องการจูนทัศนคติของตัวละคร เอาจริง ๆ ผมไม่ได้มีพื้นฐานครอบครัวแบบนี้ บวกกับการเติบโต ความคิดบางอย่างมันเหมือนต้องเรียนรู้ใหม่หมด และต้องมีความศึกษาจากผู้กำกับด้วยครับ ซึ่งพอพี่บาสพาไปดูบาเทนเดอร์ตัวจริง เราเพิ่งรู้ว่ามันมีความเป็นอาร์ตในตัว รู้สึกน่าค้นหา เป็นอาชีพที่มีเสน่ห์ ทำให้ครีเอทคาแรกเตอร์บางอย่างออกมาได้ อย่างฟีดแบ๊กที่ได้รับจากตัวอย่างแรกที่ปล่อยออกมา คือทุกคนเห็นเลยว่าลุคของผมในเรื่องนี้ ไม่เคยออกมาในผลงานเรื่องไหนที่ผมเคยเล่น เป็นภาพที่ค่อนข้างเป็นเฉดใหม่มาก ๆ ครับ ”

ต่อ ยังบอกอีกว่า “ผมเป็นคนที่คนที่จริงจังเรื่องการแสดงมาก มากจนเครียด หนังเรื่องนี้ทำให้ผมเครียดไปจนถึงจุดที่ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ บทมันยากมาก ยากจนต้องใช้คำว่าช่างแม่ง! แล้วหลังจากนั้นผมก็เปลี่ยนไปเลย ทำให้ผมเข้าใจว่า คนเราจริงจังได้ แต่ไม่ใช้จริงจังจนทำเพื่อนร่วมงานเครียด และต้องขอบคุณพี่บาส ผู้กำกับมากๆ เขาเป็นคนที่ทำงานด้วยแล้วสนุกมาก เขาจะไม่เคยบอกว่าเราเล่นดีมั้ย ชอบรึยัง เราแสดงถูกใจหรือยัง วิธีถ่ายหนังเรื่องนี้เป็นการให้เราสำรวจตัวละครไปเรื่อยๆ ไปจนถึงจุดที่ตัวละครเติบโตเองในแต่ละซีน มันเป็นการปลดล็อกการแสดงแสดงให้กับผม และต้องขอบคุณพี่ไอซ์ซึ ในเรื่องเราเล่นเป็นเพื่อนสนิทกัน ด้วยความที่เราเคารพเขาและเชื่อในการแสดงของเขา เขาต้องลดน้ำหนัก ในขณะที่ผมต้องเพิ่มน้ำหนัก 15 กิโล ไปฝึกเป็นบาร์เทนเดอร์ถึง 3 เดือน มันเลยทำให้ผมทำการแสดงร่วมกับเขาแบบไม่มีข้อแม้ใดๆ รวมถึงนักแสดงคนอื่นๆ ในเรื่อง วี, ออกแบบ พี่พลอย พี่นุ่น พี่หญิง ทุกคนล้วนเป็นทีมนักแสดงที่เป็นทีมเวิร์ก และมีเคมีที่เข้ากันมากๆ หนังเรื่องนี้ทำให้ผมหลงรักตัวละครบอส ตัวละครที่ผมเล่นแล้ว รู้สึกเอาใจช่วย เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ผมรู้สึกหวงแหนและอยากเล่นออกมาให้ผู้ชมรักและเข้าใจตัวละครตัวนี้ครับ”

นอกจากยังฉากที่น่าสนใจ และทำให้แฟน ๆ ฮือฮาในตัวอย่างแรกของ “One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ” กับเลิฟซีนสุดดุดันของ ต่อ ซึ่งเจ้าตัวเปิดใจว่า “ฉากเลิฟก็เขินสุด ๆ ไปเลย ผมไม่เคยเล่นขนาดนี้มาก่อน แต่รู้สึกเป็นโอกาสที่ดีเหมือนกันสำหรับนักแสดงคนนึง เพราะผมอยากให้ทุกคนสัมผัส เขินก็จริง แต่พอมันเป็นหน้าที่เรา มันอยู่หน้างานจริง ๆ ผมอยากให้เห็นว่าสุดท้ายผมก็เลือกที่จะก้าวข้ามความเขินและกลัวของตัวเองและเต็มที่ออกไป ให้ทั้งผู้กำกับ ทีมงานหรือแม้กระทั่งคนดู ได้เห็นสิ่งที่น่าจะดีที่สุดสำหรับหนัง อยากให้เห็นมุมอะไรแบบนี้ ถ้าเป็นผมก่อนหน้านี้อาจไม่ได้มีแนวความคิดได้ขนาดนี้ แต่ผมแค่รู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่ดี สุดท้ายผมแฮปปี้ เพราะภาพมันออกมาแล้วมันดี คนดูก็รู้สึกว่านี่เป็นมุมใหม่ เป็นคาแรกเตอร์ใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีใครเห็นผมในมุมนี้ด้วยครับ ผมว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดี ในฐานะนักแสดง เพราะมันเหมือนเป็นสิ่งที่ผมอยากสื่อออกไปให้ทุกคนได้เห็น ผมให้สัมภาษณ์ว่าเขินมาก แต่ในฐานะนักแสดงมันอยู่หน้าเซตแล้ว ผมถอยไม่ได้ สิ่งเดียวที่ผมทำได้ต้องเต็มที่กับการตรงนั่นให้มันถึงที่สุด ให้ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ได้สิ่งที่ดีที่สุดไปใช้ในหนัง บวกกับการกระทำที่เกิดขึ้น มันเข้าใจได้ เมื่ออยู่ในคาแรกเตอร์ที่เราเล่น ด้วยเหตุและผลต่าง ๆ ผมว่ามันไม่แปลกที่เราต้องเต็มที่ครับ ซึ่งเรื่องนี้ยากทุกฉาก เพราะคาแรกเตอร์มันยากจริง แต่ซีนเหล่านี้ก็เป็นหนึ่งในซีนที่ยาก แต่ยากในที่นี้คือยากในการก้าวข้ามตัวเองออกมา แล้วเล่นออกไปครับ”

การเดินทางไปถ่ายทำที่ต่างประเทศ และใช้โลเกชั่นจริง ๆ ถือเป็นอีกความท้าทายของทีมงาน ซึ่งซีนรถใต้ดินที่มหานิวยอร์ก ก็ถือเป็นอีกบททดสอบสุดหิน ที่มีความยากมาก ทั้งต้องขออนุญาต ข้อกำนดเวลาทำงาน เรื่องความปลอดภัยต่าง ๆ รวมถึงกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ทีมนักแสดงและทีมงานต้องไปเวิร์กช็อป ซึ่งสร้างความกดดันให้ ต่อ ไม่น้อย และเจ้าตัวเล่าให้ฟังว่า “จริง ๆ ผมถูกกดดันกว่าเพื่อนเลยครับ เพราะนักแสดงที่ต้องลงไปถ่ายในนั้น ยังไงก็ต้องผ่าน มีไปเวิร์กช็อป ทั้งข้อเขียน ปฏิบัติ และมีสอบ ซึ่งการเวิร์คช้อปมีทั้งวิธีการเดินบนราง เส้นไหนเดินได้หรือไม่ได้ ดูตรงไหนว่าไฟฟ้าแรงสูง วิ่งอยู่เลนไหน และจังหวะ การกะเวลาของรถไฟ จุดพักในอุโมงค์มีกี่เมตรต่อหนึ่งครั้ง สิ่งเหล่านี้ต้องรู้ครับ ตอนนั้นกดดันมาก ทุกคนพูดว่าไม่ผ่านไม่ได้ เราก็รู้สึกว่า เอ้า! แล้วไม่เผื่อว่าเราอ่อนหน่อยเหรอ (ยิ้ม) แบบสอบไม่ผ่าน แต่ก็พยายามจนได้ครับ”

พอแสดงเรื่องนี้ผมได้ประสบการณ์เยอะเลยครับ จริง ๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้ตอนถ่ายไม่รู้ตัวว่าได้อะไรมาเยอะมาก ผมถ่ายเรื่องนี้ก่อน ‘โกสต์แล็บ..ฉีกกฎทดลองผี’ ซึ่งผมรู้ตัวตอนแคสหนังโกสต์แลบ ว่า ‘วัน ฟอร์ เดอะ โร้ด’ ให้อะไรมาเยอะมาก ผมโตขึ้นแบบไม่รู้ตัว จนคนที่เราทำงานด้วยเขาทักเราว่า เหมือนผ่านโลกเยอะคิด เจนโลกขึ้น ความคิดเปลี่ยน จริง ๆ เป็นมู้ดใหม่ ๆ ที่เพื่อนร่วมงานและคนใกล้ตัวผมรู้สึก คือเดี๋ยวนี้ผมค่อนข้างสบายตัว เมื่อก่อนทุกคนจะติดภาพผมจริงจัง ออกไปในทางเครียด ตอนนี้รู้สึกไม่ได้เป็นแบบนั้นแต่ความจริงจังยังอยู่ครับ” พระเอกหนุ่ม เผย

เปิดหัวใจแก๊ง “แฟนเก่า”

สำหรับ “One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอฝาก” อัดแน่นด้วยตัวละครหญิงมากฝีมือ ทั้ง ซึ่งแต่ละคนนั้นได้ถ่ายทอดเรื่องราวของ “แฟนเก่า” ได้อย่างมีเสน่ห์และน่าสนใจไม่แพ้กัน

นุ่น – ศิรพันธ์ วัฒนจินดา รับบท “รุ้ง” แฟนเก่า “อ๊อด” โดย นุ่น เปิดใจว่า “จริง ๆ นุ่นเป็นแฟนพี่บาส ซึ่งขอบคุณที่เขาเลือกนุ่นค่ะ พอพี่บาสติดต่อมา บอกว่าสนใจและมีคุณหว่องกาไว เป็นโปรดิวเซอร์ด้วย ชื่อของสองคนนี้ เป็นคนที่เราอยากร่วมงานอยู่แล้ว เขาก็บอกตั้งแต่แรกว่ายังไม่ได้งานนะ ต้องมาแคสติ้งก่อน เราแค่รู้สึกว่าถ้าผลงานการแคสของเรา ถ้าพี่บาสหรือคุณหว่องได้เห็นเทปนั้น อาชีพการงานของนุ่นคือฟินแล้ว เพราะค่อนข้างมีโอกาสน้อยที่ระดับคุณหว่องจะมาเห็นเทปแคสติ้งของเรา แค่เขาได้เห็นก็โอเคแล้ว แต่เขาก็เซย์เยสให้เราอยู่ในโปรเจคท์นี้”

นอกจากนี้ นุ่น ยังเล่าถึงการร่วมงานกับนักแสดงรุ่นน้องว่า “เอาจริง ๆ รองจากพี่บาส นุ่นก็อาวุโสสุดแล้ว รู้สึกว่าเป็นปูชนียบุคคลเบา ๆ เวลาเขากองถ่ายน้อง ๆ ก็สวัสดี น้อง ๆ ทุกคนเก่ง และเราก็เห็นพลังของเด็กรุ่นใหม่ค่อนข้างเยอะ เหมือนนุ่นเห็นตัวเองเมื่อตอนสาว ๆ คนที่อยู่กันใกล้กันมากที่สุด คือน้องไอซ์ซึ เพราะจะเข้าฉากด้วยกันบ่อย ก็จะคุยเรื่องเกี่ยวกับวิธีการแสดง กระบวนการความคิดในการทำงาน หรือแม้กระทั่งบรรยากาศในการใช้ชีวิตของเรา เราเห็นน้องมีความตั้งใจมาก และเรารู้สึกเชื่อมั่นว่าวงการภาพยนตร์ หรือวงการบันเทิงของไทย ถ้ามีคนรุ่นใหม่แบบนี้เยอะมากขึ้น เราน่าจะไปได้ไกล คำว่าสากลเราก็น่าจะไปได้ถึงค่ะ”

น้องไอซ์ซึชอบถามว่าพี่นุ่นเคยใช้วิธีการนี้ในการทำงานรึเปล่า ซึ่งเราก็เคยแชร์ประสบการณ์แชร์ข้อดี ข้อเสีย สิ่งที่เราเคยทำแล้วเวิร์กและไม่เวิร์ก ซึ่งเราคุยเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครกันเยอะระหว่างพักกอง เหมือนทำการบ้าน เพราะเราสองในเรื่องต้องรักกันมาก ๆ มีเวลาค่อนข้างจำกัดเลยต้องใส่ข้อมูลและวิธีการทำงานค่ะ” นุ่น กล่าว

พลอย หอวัง รับบท “อลิซ” แฟนเก่า “อู๊ด” ซึ่งนี่ถือเป็นหนังเรื่องแรกของ พลอย และเจ้าตัวเผยความรู้สึกว่า “พลอยไม่เคยเล่นหลัง ก็ไม่รู้ว่าสเต็ปของการเล่นหนังเป็นยังไง แต่เคยร่วมงานกับพี่บาสมารอบนึง และรู้สึกว่าชอบ เลยไปแคสดู ตอนนั้นเขายังถามเลยว่าตัวละครนี้เอาใครมาเล่นดี (หัวเราะ) พลอยเลยบอกว่าลองคนโน้นคนนี้สิ แต่อยู่ดี ๆ พี่บาสก็บอกว่าเธอลองมาแคสบท ‘อลิซ’ มั้ย ลองดู เราก็คิดว่าฉันจะเล่นได้เหรอ แต่ก็ลองดู เพราะเป็นสิ่งใหม่สำหรับพลอย พลอยรู้สึกว่าพี่บาสเขาน่าจะทำให้เราดีค่ะ”

รวมถึง พลอย ยังมีส่วนในการดีไซน์ตัวละคร “อลิซ” ให้มีผมสีแดง “เป็นไอเดียพลอย ที่อยากให้ ‘อลิซ’ ผมสีแดง เพราะรู้สึกว่าคาแรกเตอร์นี้น่าจะเป็นประมาณนี้ เลยบอกพี่บาส ‘หนูทำการบ้านมาแล้ว คิดว่าขอให้ตัวละครนี้ มีคาแรกเตอร์ประมาณนี้ ย้อมผมแดงได้มั้ย’ พี่บาสก็ไม่แน่ใจ ขอไปคุยกับพี่หว่องก่อน สุดท้ายก็ได้ เลยออกมาเป็นผมทรงนี้ค่ะ” นักแสดงสาวเปิดใจ

ออกแบบ – ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง รับบท “นูนา” แฟนเก่า “อ๊อด” ซึ่ง ออกแบบ เล่าว่า “สำหรับ ‘นูนา’ เป็นตัวละครใหม่ของออกแบบ ซึ่งต้องเวิร์คช้อปหลายอย่างที่เราไม่เคยทำมาก่อน และไม่เคยเล่นในจังหวะนี้ ต้องเก็บเกี่ยวข้องมูล และคุยกับพี่ ๆ มากขึ้น และมันมีความลึกของคาแรกเตอร์เยอะค่ะ ในส่วนการเตรียมตัวรับบทในเรื่องนี้ เรามีการคุยกันว่าเราชอบผู้ชายแบบไหนด้วย ตอนเวิร์กช็อปเรามีคุยกว่าชอบคบคนเป็นลีดเดอร์หรือชอบผู้ชายตามใจ เป็นสายง๊องแง๊ง หรือคุมอำนาจ ก็มีการดิสคัสกันระหว่างเวิร์กช็อปด้วย”

ด้าน นุ่น เสริมว่า “เหมือนเราพูดถึงผู้ชายคนนึง ซึ่งแฟนแต่ละคน ทั้งน้องพลอย น้องออกแบบ ก็มาบอกว่า ‘อู๊ด’ ในสายตาเขาคือยังไง คือมันเหมือน ‘อู๊ด’ เป็นของฉันมาก ๆ แล้วในมุมมองของผู้หญิงคนอื่นเป็นยังไง มีความเข้าถึงตัวละคร นุ่นว่าเวิร์กช็อปแบบนี้ดีมาก ๆ สนุกดีค่ะ”

วี – วิโอเลต วอเทียร์ รับบทบาเทนเดอร์สาว “พริม” ซึ่งเป็นแฟนเก่าของ “บอส” โดยเจ้าตัวเปิดใจว่า “คาแรกเตอร์นี้ก็ท้าทายหลาย ๆ อย่าง ทั้งบท และสภาพอากาศ และสกิลของบาเทนเดอร์ มันต้องฝึกฝนและทำความเข้าใจเยอะ ต้องทำการบ้านเยอะพอสมควรว่าทำไมตัวละครนี้ตัดสินใจแบบนี้ ก็ท้าทายดีค่ะ ซึ่งวีไม่ได้รู้สึกเหมือนตัวละคร ‘พริม’ มาก แต่วิธีความคิดบางอย่าง เช่น การตัดสินใจบางอย่างของ ‘พริม’ ถ้าวีอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ก็มีอะไรคล้ายกันที่คิดว่าวีก็น่าจะตัดสินใจประมาณนี้ บวกกับ ‘พริม’ เป็นคนมีฝัน เราก็จะทะเยอทะยานในความฝันเหมือนกัน อาจเป็นข้อนี้อาจดูใกล้กันนิดนึง”

นอกจากนี้ศิลปินสาวยังต้องลงลึกในการเป็นบาเทนเดอร์ วี เล่าว่า “สำหรับรับบทเป็นบาร์เทนเดอร์ก็ต้องไปเรียนค่ะ เพราเป็นทักษะที่เราต้องฝึก ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือความคิด ทุกมูฟของบาเทนเดอร์ มันต้องมีเหตุผลว่าทำไม เขาต้องขยับแบบนี้ แค่นี้ เพื่อเขาจะหยิบอะไร เขาต้องรู้จักบาของเขา เราเลยต้องไปเรียนรู้ที่จะเป็นบาเทนเดอร์แบบจริง ๆ ค่ะ”

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการกลับมาร่วมงานกันระหว่าง วี กับ ต่อ อีกครั้ง “ต่อเป็นเพื่อนวีอยู่แล้ว พอได้มาเล่นด้วยกัน ก็สบายใจ เหมือนได้เล่นกับเพื่อน และเล่นเป็นคู่ที่เราเชื่อใจมาก ๆ เวลาเล่นด้วยกันก็อินง่าย เพราะเรามองตาก็รู้ว่าเขาส่งสิ่งนี้มาให้ เราเชื่อใจกันร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ” วี เผย

ขอโทษ ขอบคุณ และขอให้โชคดี” นิยามของเพลงประกอบหนัง

นอกจากตัวภาพยนตร์ที่ถูกถ่ายออกมาได้อย่างน่าประทับใจแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่มาเพิ่มลึกซึ้งให้กับ “One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอฝาก” ก็คือเพลงประกอบทั้งสองเวอร์ชั่น อย่าง “ถ้าเธอ” และ “Nobody Knows” ที่ได้ แสตมป์-อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข และ คริสโตเฟอร์ ชู รวมทั้ง วี-วิโอเลต มาร่วมถ่ายทอด

โดย บาส เผยถึงที่มาของเพลงว่า “เพลงประกอบหนังจะมี 2 เวอร์ชั่น ภาษาไทยคือเพลง ‘ถ้าเธอ’ กับภาษาอังกฤษใช้ชื่อ ‘Nobody Knows’ ซึ่งหนังเรื่องนี้มีมิติให้พูดได้ค่อนข้างเยอะ มันพูดภาพกว้าง พูดเรื่องชีวิต ความสัมพันธ์ มุมมองต่าง ๆ แต่พอเราจะทำเพลงเวอร์ชั่นไทย ก็พยายามพูดให้มันแคบลงนิดนึง และเราไปโฟกัสในเรื่องของความสัมพันธ์กับแฟนเก่าที่เคยผ่านมา ความทรงจำที่เรามีต่อเขา ที่ตอนนี้มันอาจจางหายไปแล้ว เวอร์ชั่นไทยจะทำหน้าที่ตรงนั้น ซึ่งการทำงานพี่แสตมป์ เราบรีฟเขาน้อยมาก การทำงานกับพี่แสตมป์คล้ายทำงานกับคุณหว่อง คือชอบโยนคำถามที่ทำให้ผมกลับไปนอนคิด เหมือนพี่แสตมป์ถามผมว่า ‘เพลงนี้คุณอยากมอบให้แฟนเก่า คุณอยากบอกอะไร’ ผมกลับไปนอนคิดมาคืนนึง และกลับไปบอกไปว่าผมอยากบอกว่า ‘ขอโทษ ขอบคุณ และขอให้คุณโชคดี’ มันเป็นไอเดียหลักที่พี่แสตมป์ใช้ในการทำเพลงครับ”

แสตมป์ บอกต่อว่า “สำหรับเรื่องนี้แค่อ่านตัวหนังสือก็สนุกมาก รู้สึกอินอยากแต่งเพลง เลยถามบาสว่าอยากให้ผมให้กับตัวละครไหน พูดกับใคร บาสก็ทำการบ้านมา ก็ได้เป็นเพลงนี้ออกมา ซึ่งทั้งทีมพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องเป็นวีมาร่วมร้องครับ” ด้าน วี เสริมว่า “รู้สึกดีใจมากที่พี่แสตมป์มาชวนวีร้อง เรื่องราวของเพลงพูดถึงการที่ถ้าเรานึกย้อนกลับไป แล้วเราทำอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไป มันจะกลายเป็นยังไงนะ มันพูดความสัมพันธ์และคนรักเก่า เลยรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่คนน่าอินง่าย ๆ ค่ะ”

ความสำเร็จบนเวทีโลก กับการคว้ารางวัลใน “เทศกาลหนังซันแดนซ์”

อีกหนึ่งสิ่งที่การันตีความน่าดูของภาพยนตร์ “One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอฝาก” คือการที่หนังสามารถไปคว้ารางวัลบนเวทีโลก อย่าง “เทศกาลหนังซันแดนซ์ (Sundance Film Festival)” กับรางวัล เวิล์ด ดราม่าติก สเปเชียล จูรี่ อวอร์ด (World Dramatic Special Jury Award) ในสาขา ครีเอทีฟ วิชั่น (Creative Vision)

งานนี้ผู้กำกับ บาส เปิดใจว่า “ผมดีใจมากครับที่หนังเรื่องนี้ ได้รับรางวัลจากเทศกาลหนังซันแดนซ์ ฟิล์ม เฟสติวัล เพราะเป็นเทศกาลหนังที่ผมชอบมากสมัยอยู่อเมริกา และคิดว่าถ้าหนังที่เราทำได้รางวัลจากเทศกาลนี้ก็คงดี ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็สามารถทำได้สำเร็จ สำหรับรางวัลที่ได้รับในเทศกาลหนังซันแดนซ์ครั้งนี้ เป็นรางวัลที่ประกวดระหว่างหนังที่ไม่ใช่หนังอเมริกาครับ รางวัลที่ได้คือ ‘สเปเชียล จูรี่ อวอร์ด’ สาขาครีเอทีฟ วิชั่น คือเขาให้ในเชิงวิชวล ภาพหนัง ซึ่งต้องให้เครดิตกับทีมงานจริง ๆ ไม่ใช่แค่ผมหรือนักแสดง แต่รวมถึงตากล้อง ทีมอาร์ตไดเร็คชั่น ทีมแผนเสื้อผ้า ที่ครีเอทวิชวรของหนังที่ออกมาแล้วคนได้ดูกันครับ”

ต่อ เสริมว่า “จริง ๆ แล้วพวกเราดีใจมากในวันที่รู้ว่าเทศกาลหนังนี้ติดต่อมาให้ภาพยนตร์ของเราไปร่วมเทศกาล ซึ่งวันนี้ถือว่าทำเสร็จแล้ว โอเค แฮปปี้แล้ว สุดยอดมากสำหรับพวกเรา แต่วันที่รู้ว่าได้รางวัล ก็ยิ่งดีใจจนรู้สึกว่าพวกเราก็ทำได้ เมื่อพวกเราทีมเวิร์กกันมากพอ รางวัลที่ได้มาไม่ใช่ได้เพราะใครคนนึง แต่ทุกองค์ประกอบช่วยกัน มันยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า การที่เราตัดสินใจทุ่มเทกับโปรเจต์นี้มันไม่ได้ผิดทางครับ”

ชวนมาเสพย์งานศิลป์ พร้อมตกผลึกความทรงจำ

นุ่น ชวนแฟน ๆ“นุ่นอยากให้มองภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นงานศิลปะชิ้นนึง ความเป็นศิลปะมันใส่ความละเมียด ใส่รสนิยมของผู้ทำและทีมงานเข้าไป อาจสวยหรือถูกจริตของใครบ้างไม่รู้ แต่อยากให้มาเสพชิ้นนี้ เพราะรู้สึกเหมือนเป็นงานศิลปะชิ้นนึงที่เรารู้สึกว่ามีคุณค่า แต่อีกมิตินึงที่ไม่ใช่งานศิลปะ เรารู้สึกว่าเนื้อเรื่องที่พี่บาสหรือทีมที่ทำ มันมีคุณค่าบางอย่าง เราแค่พูดว่าแฟนเก่าสำหรับพวกเรา คำว่า ‘แฟนเก่า’ ในมุมมองของแต่ละคน ความรู้สึกกับคำนี้ไม่เหมือนกัน เรารู้สึกมันเป็นต้นทุนชีวิตอันนึง ที่ทำให้เรามีทุกวันนี้ค่ะ คำว่าแฟนเก่า มันอาจให้ทั้งประสบการณ์ ความทรงจำ การเรียนรู้ที่ดี นุ่นเลยคิดว่า คนที่ทั้งอยากเสพงานศิลป์สวย ๆ ก็อยากให้ลองมาดู คนที่อยากค้นหาความทรงจำของตัวเอง อยากตกผลึกบางอย่าง หรือบางคนอยากหาเวลาในการร้องไห้ และมีเพื่อนร้องไห้ด้วยในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็อยากให้มาดูค่ะ”

วี บอกต่อว่า “สำหรับวี รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ มันสะท้อนความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับเพื่อนครอบครัว และความฝัน รู้สึกว่ามันเรียลมาก ๆ เหมือนมีมวลความรู้สึกอยู่ข้างใน อาจจะทำให้หลายคนได้ตกตะกอน และได้ข้อคิดบางอย่าง ซึ่งหนังเรื่องนี้ได้ถ่ายทอดความรู้สึก ที่ยังคงความคลาสสิก เข้ากับทุกยุคทุกสมัย อยากชวนทุกคนเข้าไปดูหนังเรื่องนี้กันเยอะ ๆ นะคะ รับรองว่าจะต้องประทับใจแน่นอนค่ะ”

ผู้กำกับ บาส ฝากผลงานว่า “สำหรับ ‘วัน ฟอร์ เดอะ โร้ด’ เป็นหนังที่ให้โอกาสผมได้ทำในสิ่งที่ผมอยากจะทำ ซึ่งไม่รู้ว่าในอนาคตจะได้ทำแบบนี้หรือเปล่า ได้พูดสิ่งที่เราอยากจะบอก และเป็นหนังที่ท้าทายผมในทุกอย่าง รวมถึงยังได้ทำงานกับ หว่องกาไว ผู้กำกับระดับตำนานที่ผมชื่นชอบ ได้ร่วมงานกับนักแสดงมืออาชีพ ได้ทำงานกับทีมโปรดักชั่นมืออาชีพ และทีมงานของหว่องกาไว เป็นการทำงานที่ผมบินไปฮ่องกงบ่อยมาก และยังต้องยกทีมไปถ่ายทำที่อเมริกา ครั้งหนึ่งในชีวิตได้ทำอะไรแบบนี้ถือว่าคุ้มค่ามากๆ ครับ หวังว่าการได้ไปรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ มันอาจทำให้นึกถึงประสบการร่วมบางอย่างที่คนดูหลายคนมี และในช่วงเวลาที่ชีวิตค่อนข้างเซ็นซิทีฟระดับนึง ผมว่าการได้ดูหนังและถ้ามันสามารถสะท้อนความคิดหรือชีวิตที่ผ่านมา แล้วตั้งคำถามกับตัวเอง เหมือนที่ผมเคยโดนตั้งคำถามมา ว่าถึงจุดนึงถ้าเรายังมีเวลาอยู่ เราอยากให้เวลาเดินทางและดื่มเหล้าแก้วสุดท้ายกับใคร หนังกำลังจะเข้าฉายในเมืองไทย รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกันนะครับ อยากฝากแฟนๆ ชาวไทยด้วยนะครับ”

หว่อง กาไว ทิ้งท้ายว่า “ผมรู้จักบาสผ่านผลงานการกำกับเรื่อง ‘ฉลาดเกมส์โกง’ ผมชอบความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา เลยเชิญมาทำงานร่วมกัน เราพูดคุยแชร์ไอเดียกันหลายครั้งจนมาสรุปที่ ‘วัน ฟอร์ เดอะ โร้ด’ หนังเรื่องนี้ได้เล่าถึงการเดินทาง การเดินทางไปในหลายๆ ที่ บางครั้งก็มาจบที่การเริ่มต้น ผมตั้งตารอวันที่จะกลับมาชนแก้วกับบาสและทีมงานทุกคนที่ทำงานหนักเพื่อหนังเรื่องนี้ เป็นหนังที่วิเศษมากสำหรับผม ผมคิดถึงแฟนๆ ชาวไทยมากครับ ‘วัน ฟอร์ เดอะ โร้ด’ เป็นเรื่องราวที่ต้องแชร์กับคนที่คุณรัก ขอบคุณทุกคนสำหรับการสนับสนุนนะครับ”

มาพบกับความคิดถึง “แฟนเก่าส์” ผ่าน “เรื่องเหล้า” ของความรัก มิตรภาพ และการเดินทาง ใน “One For The Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ” วันที่ 10 .. นี้ ในโรงภาพยนตร์