โลกธรรม 8 คือ “สุข ทุกข์ นินทา สรรเสริญ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ” เป็นแขกเจ้าประจำของชีวิต ไม่ต้องเชิญเขาก็มา ไม่ต้องไล่เขาก็ไป แต่ถ้าสร้างเหตุปัจจัยดี ผลออกมาไม่ว่าจะผ่านไปแล้วก็ตาม ปัจจุบันก็ตาม หรือในอนาคตก็ตาม ล้วนแต่จะเป็นสิ่งที่ดีที่งามที่ประเสริฐทั้งสิ้น  

ในเรื่องของความทุกข์นั้น เราทุกคนต่างได้ประสบการณ์มาแล้วในเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งในชีวิตและการทำงาน ทำให้เราได้รู้รสชาติของอุปสรรคปัญหาต่างๆ ที่เราจะได้นำมาเป็นบทเรียนชีวิต เพราะความทุกข์ต่างๆ ไม่ใช่จะเป็นเรื่องไม่ดีเสมอไป ก็ยังพอมีความดีอยู่เช่นกัน  

เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เมตตาสอนนาทีทองมองชีวิต ว่า เราต้องระวัง 2 คราวในชีวิต คือ 1.คราวที่เราได้ดีที่สุดในชีวิต เราอาจจะเสียคนเพราะหลงระเริงกับความสุข ความสำเร็จ 2.คราวที่เราทุกข์ที่สุด อาจจะชั่ววูบทำในสิ่งที่เป็นโทษแก่ชีวิตและครอบครัว  

โบราณท่านจึงเตือนให้เราระวัง “ยามได้ดีอย่าหลงดี ยามตกอับอย่าท้อแท้จนทุกข์ระทม ชีวิตย่อมมีทางออกเสมอ” 

พระพุทธศาสนายกย่องในเรื่องของกรรม คือ การกระทำ ทำดีก็จักได้รับผลดี ทำไม่ดีก็จักเกิดผลไม่ดี แต่การทำความดีนั้น จะต้องทำให้ดี ทำให้ถูกดี ทำให้ถึงดี ทำให้พอดี คือ ไม่เกินเลยความดีไป  

ดังมีเรื่องเล่าการทำดีว่า มีครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่ง เลี้ยงลากับสุนัขเอาไว้คู่กัน หน้าที่ของลาก็คือลากเกวียน ซึ่งเป็นงานหนัก ทั้งสวัสดิการและอาหารก็ไม่ดี ส่วนสุนัขมีหน้าที่เฝ้าบ้าน เป็นงานสบาย สวัสดิการและอาหารดีกว่า ลาเห็นเช่นนั้นก็เกิดความอิจฉาสุนัข คิดอยากจะย้ายไปทำหน้าที่ของสุนัขบ้าง เมื่อว่างจากงานลากเกวียน ลาจึงซุ่มฝึกเห่าเอาไว้ และแล้วโอกาสของลาก็มาถึงคืนหนึ่งมีขโมยขึ้นบ้าน คืนนั้นสุนัขไม่ทำหน้าที่ของตนเอง เอาแต่นอนหลับ แม้ลาจะสะกิดเพียงใดก็ไม่ยอมตื่น ลาจึงเห่าแทนสุนัข ขโมยได้ยินเสียงลาเห่าแล้วรู้สึกขำ เก็บของไปหัวเราะไป ลาเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกโกรธมาก จึงเอาเท้าหลังเตะคอกดังโครมคราม ขโมยตกใจกลัวเจ้าของบ้านจะตื่น จึงทิ้งของกลางไว้แล้วรีบหนีไป  

เมื่อขโมยหนีไปแล้ว สุนัขจึงตื่นและรีบลุกไปดมของที่ขโมยทิ้งไว้ ลาไม่พอใจที่สุนัขมาเสนอหน้า เพื่อจะเอาความดีความชอบ จึงเตะคอกไปเรื่อยๆ เพื่อปลุกให้เจ้าของบ้านให้ตื่นมาดูผลงานการไล่ขโมยของตน ทำให้เจ้าของบ้านที่กำลังหลับอยู่เพลินๆ สะดุ้งตื่นและโมโห จึงรีบลงมาจากบ้านพร้อมคว้ากระบองอันใหญ่ติดมือมาด้วย ลาเห็นเจ้าของบ้านเดินมาก็ดีใจ คิดว่าจะได้รางวัลตอบแทนจึงก้มหัวลงรอรับรางวัล แต่กลับถูกตีอย่างไม่ยั้งมือ ลาจึงได้แต่บ่นกับสุนัขว่า ทำไมทำดีแล้วไม่ได้ดี 

จากเรื่องดังกล่าวข้างต้นฟังดูแล้วอาจจะเป็นเรื่องขำขัน แต่ก็แฝงไปด้วยคติธรรมสอนใจอยู่ไม่น้อย พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ธมฺมํ จเร สุจริตํ พึงทำความดีให้สุจริต” ไม่ใช่ทำความดีอย่างมีเลศนัย หรือทำดีไปโดยมีความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นพื้นฐานในการกระทำนั้นๆ ผลที่ออกมาก็จักไม่ดี  

เราจะทำอะไรหรือเป็นอะไรก็ตาม ขอให้ตั้งอยู่ในความสุจริตคือ คิดดี พูดดี ทำดี ซึ่งหลักธรรม 3 คำนี้ทุกท่านได้ตระหนักมาด้วยดีตลอดมา ดังบทกลอนสอนธรรมว่า  

ทำความดีนั้น เพื่อความดี นี้ถูกต้อง 

ดุจปิดทอง หลังพระปฏิมา อย่าหวั่นไหว 

ใครไม่รู้ ใครไม่เห็น ไม่เป็นไร 

ใจเราใส เราสุขสันต์ นั่นคือบุญ 

นาทีใดที่เผชิญกับความทุกข์ นับว่าเป็นนาทีทอง ต้องมองชีวิตให้ชัดนะโยม 

……………………………

คอลัมน์ : ลานธรรม

โดย : พระสุธีวชิรปฏิภาณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ประธานพระธรรมวิทยากรเครือข่ายธรรมะอารมณ์ดี