นายโจนาธาน ดาเวนพอร์ท ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก เปิดเผยว่า การ์ทเนอร์ ได้คาดการณ์ยอดจัดส่งรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (แบบพลังงานจากแบตเตอรี่และแบบปลั๊กอิน-ไฮบริด) ในปี 65 จะเพิ่มขึ้นเป็น 6 ล้านคัน จากจำนวน 4 ล้านคันในปี 64 แม้ว่าภาวะขาดแคลนชิพยังส่งผลกระทบต่อเนื่อง กับยอดการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในปีนี้ ซึ่งรถยนต์ จะมีสัดส่วนจัดส่งมอบสูงถึง 95% ของตลาดยานยนต์ พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด ส่วนที่เหลือจะแบ่งเป็น รถโดยสาร รถตู้ และรถบรรทุกขนาดใหญ่ ขณะที่ประเทศจีน และยุโรปตะวันตก จะมียอดจัดส่งยานยนต์พลังงานไฟฟ้าสูงสุด เนื่องจากนโยบายของภาครัฐ

โจนาธาน ดาเวนพอร์ท

“ด้วยนโยบายของสาธารณรัฐประชาชนจีนที่มีคำสั่งให้ภายในปี 73 ผู้ผลิตรถยนต์ต้องผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในสัดส่วน 40% ของยอดจำหน่ายรถยนต์ทั้งหมด รวมถึงการจัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าขึ้นใหม่ ขณะที่ แผนของ สหภาพยุโรป หรืออียูที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากการใช้รถยนต์ให้ได้ที่ 55% และรถตู้ที่ 50% ภายในปี 73 ทำให้การ์ทเนอร์คาดว่า ประเทศจีนจะกลายเป็นผู้นำอันดับ 1 ที่ครองยอดการจัดส่งรถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยมีสัดส่วนราว 46% ของการจัดส่ง รถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดทั่วโลกในปีนี้ โดยมียอดจัดส่งสูงถึง 2.9 ล้านคัน ขณะที่ฝั่งยุโรปตะวันตกจะอยู่ในอันดับที่ 2 ด้วยยอดการจัดส่งที่ 1.9 ล้านคัน และตามมาด้วยอันดับสาม คือผู้ผลิตจาก อเมริกาเหนือ ที่คาดว่าจะมียอดจัดส่งอยู่ราว 855,300 คัน”

นายโจนาธาน กล่าวต่อว่า  จากการที่รัฐบาลในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญ ออกกฎระเบียบ และใช้มาตรการกระตุ้นต่าง ๆ เพื่อผลักดันยอดจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ เพิ่มการลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้วางโครงสร้างพื้นฐานจุดชาร์จไฟและเทคโนโลยีแบตเตอรี่ในรถยนต์ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจเปลี่ยนมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งคาดว่า ในปีนี้จะมีจำนวนจุดชาร์จไฟฟ้าสาธารณะทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 2.1 ล้านจุด จาก 1.6 ล้านจุด เมื่อปี 64 

“ปัจจัยท้าทายการใช้รถยนต์ไฟฟ้ายังมีอยู่อีกมาก ทั้งการลดราคารถยนต์พลังงานไฟฟ้าและแบตเตอรี่ การรีไซเคิลแบตเตอรี่ รุ่นรถยนต์ที่หลากหลายกว่าเดิม การขับให้ได้ระยะไกลขึ้น รวมถึง จำนวนจุดชาร์จไฟฟ้าแบบเร็วที่บ้าน และพื้นที่สาธารณะต่าง ๆ ที่ยังขาดแคลน”