นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า ได้หารือแบบทวิภาคีกับ นายเจีย วันเดค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคมแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ผ่านระบบการประชุมทางไกล เพื่อขยายความร่วมมือในการประสานงานแก้ไขปัญหาและปราบปรามมิจฉาชีพออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันมีการข้ามเขตแดนเพื่อก่อการละเมิดกฎหมายของไทยและกัมพูชา สร้างความเดือดร้อนกับประชาชน และความเสียหายต่อรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศ

โดยประเด็นการหารือครอบคลุม 4 หัวข้อหลัก ประกอบด้วย  1.การแต่งตั้งคอนแทค พอยท์ (Contact point) ในการประสานงานในการตรวจค้นพยานหลักฐานที่พบในกัมพูชาและการขยายการสืบสวนสอบสวนเพื่อให้ได้ตัวผู้กระทำความผิด เนื่องจากที่ผ่านมาเป็นการส่งพยานหลักฐานให้ทางฝ่ายไทยอย่างเดียว และนำไปขยายผลในการจับกุมผู้กระทำความผิดที่กัมพูชาไม่ได้

2.การประสานงานในการขอข้อมูลผู้ใช้บริการ VOIP ฝั่งกัมพูชา, IP Address และข้อมูลการโทรศัพท์ที่คนร้ายใช้ในการกระทำความผิด เพื่อใช้ในการสืบสวนจากฝั่งไทย–กัมพูชา และกัมพูชา–ไทย

3.การจัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องของทั้งฝ่ายไทย–กัมพูชา และ 4. การจัดทำ MoU ระหว่างไทยและกัมพูชาว่าด้วยความร่วมมือในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และไฮบริด สแกม

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า การหารือความร่วมมือครั้งนี้ เป็นความคืบหน้าจากที่ได้มีโอกาสต้อนรับ นายซกกรัดทะยา ซก ที่ปรึกษาส่วนตัวของสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชา และคณะ ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ พร้อมได้หารือความร่วมมือที่ประสงค์ผลักดันร่วมกัน เมื่อเดือนสิงหาคม 2564 ในประเด็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านดิจิทัลระหว่างไทยและกัมพูชา และการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และไฮบริด สแกม หลอกลงทุน และการจัดทำเอ็มโอยู ระหว่างกันในเรื่องดังกล่าว

โดยที่ผ่านมาพบปัญหามิจฉาชีพและกลุ่มอาชญากรรมข้ามเขตแดนไทย–กัมพูชา และใช้เป็นฐานในกระทำผิดกฎหมายข้ามแดน และหลีกเลี่ยงการถูกจับกุมดำเนินคดีจากหน่วยงานผู้บังคับใช้กฎหมาย โดยตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปีที่ผ่านมา ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและสารสนเทศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ได้รับแจ้งจากการกลุ่มผู้เสียหายจำนวนมาก ซึ่งถูกหลอกลวงจากคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แก๊งหลอกชักชวนให้ร่วมลงทุน และแก๊งพนันออนไลน์หลายเว็บไซต์ มูลค่าความเสียหายกว่าหลายร้อยล้านบาท

จากการสืบสวนทราบว่าคนร้ายบางส่วนใช้วิธีโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต (VOIP) ทราบ IP Address ที่คนร้ายใช้กระทำความผิด เมื่อตรวจสอบกับสถานที่ทำธุรกรรมการเงินของคนร้ายพบว่าตั้งอยู่ที่กรุงพนมเปญ และเมืองพระสีหนุ ประเทศกัมพูชา ซึ่งเงินที่คนร้ายได้จากการกระทำความผิดจะฟอกเงินผ่านร้านรับแลกเงินในประเทศกัมพูชา หรือเงินสกุลดิจิทัล

ทั้งนี้ ปัญหาดังกล่าวทวีความรุนแรงและสร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้จากจำนวนคดีที่เหยื่อได้แจ้งความ ซึ่งรัฐบาลของทั้งสองประเทศเห็นความสำคัญของปัญหานี้ และเตรียมแนวทางขับเคลื่อนการทำงานร่วมกันเพื่อปราบปรามกลุ่มมิจฉาชีพออนไลน์ข้ามประเทศ

“ที่ผ่านมา เรายังมีการหารือการส่งเสริมความร่วมมือการต่อต้านข่าวปลอม เนื่องจากปัจจุบันมีกลุ่มผู้ไม่หวังดีเดินทางข้ามมายังเขตแดนไทย เพื่อโพสต์ข้อความเพื่อโจมตีรัฐบาลกัมพูชาผ่านเฟซบุ๊ก ทั้งนี้เพื่อหลบหลีกจากการที่รัฐบาลกัมพูชามีนโยบายสอดส่อง (เซ็นเซอร์) การโพสต์เนื้อหาที่ไม่เหมาะสมตามแฟลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ” นายชัยวุฒิกล่าว