กำลังเข้มข้นเลยทีเดียว สำหรับ “รางรักพรางใจ” ละครโรแมนติกดราม่า-สืบสวน ล่าสุด “บันเทิงเดลินิวส์” ได้มีโอกาสพูดคุยกับพระนางของเรื่อง อย่าง โดนัท-ภัทรพลฒ์ เดชพงษ์วรานนท์ กับ ปูเป้-เกศรินทร์ น้อยผึ้ง ถึงบทบาทสุดท้าทายครั้งนี้ รวมไปถึงเปิดมุมมองเรื่องความรัก และการเติบโตในวงการด้วย

Q : ฟีดแบ๊ก “รางรักพรางใจ” เป็นยังไงบ้าง พอใจมั้ย?

โดนัท : ดีใจครับ ตั้งแต่ละครออนแอร์ไป ก็มีแฟนคลับทั้งแท็กในไอจีและในทวิตเตอร์ และช่องไลฟ์ บอกว่าสนุกมาก อยากตามสืบเรื่องไปจนจบเลย อยากดูตอนสุดท้ายแล้วจริง ๆ ครับ

 ปูเป้ : มีคนเข้ามาให้กำลังใจ มาชมและมีทั้งในพันทิป ทวิตเตอร์ และในสตอรี่ในไอจี ก็มีคนแท็คเข้ามาเยอะมาก และเรื่องนี้เป็นครั้งแรกของปูเป้ที่ได้เล่นหลายบทบาท คือ มีความไกลตัวของปูเป้มาก ดีใจที่พอละครออนแอร์ออกมาแล้วคนชอบค่ะ

Q : เตรียมตัวมารับบทครั้งนี้ยังไงบ้าง?

ปูเป้ : ปูเป้จะมีเวิร์คช็อปกับทางกันตนา ก็มีคุยกันในเรื่องของ ‘เก็จอุษา’ และ ‘เก็จอาภา’ ว่ามีความแตกต่างกันยังไง อารมณ์พีคของตัวละครจะแสดงออกมาในรูปแบบไหน มันถึงจะแตกต่างกัน  ตอนเวิร์คช็อปก็ให้ทำการบ้านมาประมาณนี้และปูเป้ก็ไปอ่านบทเพิ่มเติมด้วย รวมถึงฟังคอมเม้นต์ของผู้กำกับและนำไปปรับปรุงด้วยค่ะ

โดนัท : สำหรับ  ‘ฆราวัสส์’ ก็เป็นอีกบทบาทใหม่นึงที่ต้องทำการบ้าน เพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวกับครอบครัวของเราที่เกิดคดีฆาตกรรม จริง ๆ ก็ไปตามเนื้อเรื่อง ด้วยความที่เราไม่ได้ชอบตัวนางเอกมาก่อนอยู่แล้ว มันก็ค่อย ๆ ไปตามเนื้อเรื่องไป และพยายามคุยกับผู้กำกับ พี่อ๊อด (ธีระศักดิ์ พรหมเงิน) ว่าปรับอะไรได้บ้าง เสนอกลับมาให้ครับ

Q : คาแรกเตอร์ที่ได้รับ มีตรงไหนที่รู้สึกเหมือนกับตัวเรา จนถ่ายทอดออกได้ง่าย และมีตรงไหนที่ต่างจากตัวจริง จนทำให้เราต้องโฟกัสในการแสดงส่วนนี้เป็นพิเศษบ้างมั้ย?

ปูเป้ : สำหรับปูเป้ บทที่รู้สึกว่ามีความเหมือนปู้เป้ก็คือตัวน้องสาว ‘เก็จอาภา’ เขาจะมีความร่าเริงแจ่มใส มีความทะมัดทะแมง ชอบเที่ยวธรรมชาติ ซึ่งแตกต่างจาก ‘เก็จอุษา’ ที่ชอบเข้าสังคม ปาร์ตี้ ชอบแต่งตัวจัก และมีผู้ชายอยู่รอบ ๆ ซึ่งบทนี้ก็ไกลตัวจากปูเป้มาก ๆ และเราก็ถ่ายทอดออกมาค่อนข้างยากมาก ๆ เพราะมันไกลตัวจากปูเป้เยอะ และลุคที่โตกว่าวัยของปูเป้ไปมากด้วยค่ะ

โดนัท : สิ่งที่แตกต่างก็น่าจะเป็นพวกอารมณ์ที่ตัวบทมันฉุนเฉียวไปนิดนึง ต่อล้อต่อเถียงกับนางเอก แต่ตัวผมไม่ค่อยชอบทะเลาะอยู่แล้ว ก็เป็นอีกบทนึงที่ต้องมาพูดเร็วขึ้น มันก็ต้องปรับตรงนี้นิดนึงครับ

Q :  เรื่องนี้ถ่ายท่ามกลางสถานการณ์โควิด หรือถ่ายทำก่อนเกิดการระบาด?

โดนัท : เราเริ่มถ่ายตั้งแต่เดือน พ.ย. ของปี 2020 ครับ ก็ถ่ายมาเรื่อย ๆ และเจอสถานการณ์โควิดไป  2 รอบที่ต้องหยุดถ่ายทำ ก็น่าจะประมาณ 4 เดือน

 ปูเป้ : แรก ๆ มันจะปรับตัวยาก ทั้งในเรื่องของทีมงานและนักแสดง เราต้องสว็อปทุกครั้งที่ออกกอง ทีมงานก็ห้ามถอดแมส เพื่อความปลอดภัยของทุกคนด้วย และนักแสดงก็พยายามเซฟตัวเองให้มากที่สุด เราไม่ไปไหนกันเลย ทำแต่งาน พยายามเซฟตัวเองไม่ออกไปเจอในที่สุ่มเสี่ยง เพื่อให้ตัวเราและทกุปลอดภัยค่ะ

Q :  ในช่วงที่หยุดถ่ายทำ มันทำให้เรารู้สึกต่อเนื่อง (Continued) อารมณ์ของตัวละครยากมั้ย?

ปูเป้ : ปูเป้คิดว่ามันคือการใช้เวลาตรงนี้ไปทำการบ้านเพิ่มขึ้น ถึงได้มีเวลาในการพัฒนาตัวละคร เพราะก่อนหน้านั้นเราก็ได้มีการถ่ายทำไปบ้างแล้ว เราก็รู้แล้วว่าจุดบกพร่องของเรามีตรงไหน หรือมีตรงไหนที่ควรแก้ไขให้มันดีขึ้นกว่าเดิม ช่วงที่หยุดพักกองไป ก็คือเอาตรงนี้ไปทำการบ้าน พอเปิดกองอีกครั้งนึง ความต่อเนื่องของตัวละครมันไม่ได้หายไป เพราะพอเราได้อ่านบท ทำการบ้านอยู่เสมอ พอเรามาถ่ายอีกครั้งนึง คือมันก็รู้สึกไปโดยปริยายเลยค่ะ

โดนัท : ไม่ยากครับ คือเราอย่าทิ้งบทไว้ข้างหลัง พอรู้ว่าจะได้กลับมาถ่ายทำอีกครั้ง เราก็เอาบทมาอ่าน มานั่งทำการบ้านต่อ เลยไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องของการคอนทินิวด์อารมณ์ตัวละคร

Q :  ทั้งคู่ได้มีการช่วยดีไซน์การแสดงในบทบาทที่ได้รับบ้างมั้ย?

โดนัท : ถ้าผมมองฝั่งของนางเอกนะครับ ส่วนมากพี่อ๊อดจะมีมุมที่เขามอง มีภาพที่เขาต้องการอยู่แล้ว อยากได้ประมาณนี้ เขาก็จะวางไว้ให้

 ปูเป้ : คือพอได้บทมา เราก็ทำการบ้าน แต่ว่าถ้าตรงไหนที่เรารู้สึกว่ามันมีความเป็น ‘เก็จอุษา’ และ ‘เก็จอาภา’ ในจุด ๆ นี้ ก็สามารถบอกได้ พี่อ๊อดก็จะคอยรับฟัง และคิดว่าเหมาะหรือไม่เหมาะกับตัวละครนี้

Q : เห็นว่าแคสนักแสดงแรกไม่ใช่เราทั้งคู่ แต่เป็น “โก้ วศิน อัศวนฤนาท” และ “มิน-พีชญา วัฒนามนตรี” พอเรามาแสดงยิ่งรู้สึกกดดันมั้ย เพราะคนอาจนึกเทียบกับคู่เดิมอยู่ลึก ๆ?

โดนัท : ผมมองว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่ปูเป้ได้รับมากกว่านะครับ เพราะว่าเรื่องนี้เอาจริง ๆ มันยากและไกลตัวเหมือนกัน ที่จะทำให้คนดูได้เห็นอีกมุมนึง และสามารถแยกออกได้ว่านี่คือคาแรกเตอร์ของตังละครนี้ ผมมองว่ามันเป็นการบ้านที่หนัก พอทำออกมา มันก็ออกมาดี ก็มีทั้งคนที่ให้กำลังใจเราด้วย

Q : “ปูเป้” กดดันมั้ย  อาจโดนจับตามองเยอะ เพราะเป็นนางเอกและตัวเดินเรื่องด้วย?

 ปูเป้ : กดดันตรงที่มันเป็นบทที่เกินประสบการณ์ของหนู ไม่เคยมีประสบการณ์ทางด้านนี้มาก่อน แต่สิ่งที่เราจะทำได้มากที่สุดในฐานะนักแสดง ก็คือเมื่อเราได้รับมอบหมายให้ทำงานชิ้นนี้ เราก็ต้องทำออกมาให้เต็มที่ที่สุด เพราะมันคืองานที่เราต้องทำอย่างเต็มที่ และเราเป็นนักแสดง ไม่ว่าจะเป็นบทอะไรก็แล้วแต่ ก็ต้องเป็นเขาให้ได้ค่ะ

Q : ร่วมงานกันมา ประทับใจอะไรในตัวกันบ้าง?

ปูเป้ : จริง ๆ ปูเป้กับพี่โดนัทเคยร่วมงานกันมาแล้ว พอเรามาเจอกันอีก ก็ไม่ได้รู้สึกขัดกันตรงไหน ที่สำคัญมันดีด้วยซ้ำตรงที่พอเราเคยเจอกันแล้ว และมาเจอกันครั้งนี้มันก็สามารถคุยกันได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องมาแนะนำตัวกัน รู้กันอยู่แล้วาพี่โดเป็นยังไง ปูเป้เป็นยังไง พอทำงานด้วยกันก็ราบรื่นทุกอย่างค่ะ

โดนัท : พอได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งก็สบายเลยครับ (ยิ้ม) ด้วยความที่ชิลสุดแล้ว และก็ไม่ต้องปรับตัวกันมาก พอกลับมาทำงานด้วยกันก็ชิลเลย ปล่อยเลย สบายมาก

Q :  คาดหวังผลงานครั้งนี้กันยังไง?

ปูเป้ : จริง ๆ เราไม่ได้คาดหวังมาก คาดหวังแค่ว่าอยากให้คนดูเชื่อว่า คนนี้คือ ‘เก็จอุษา’ และคนนี้คือ ‘เก็จอาภา’ จริง ๆ เพราะเราพยายามถ่ายทอดออกให้คนดูรู้สึกว่าสิ่งที่เราเล่นคนนี้ไม่ใช่ปูเป้ที่เป็นสองตัวละคร แต่ว่าเขาคือ ‘เก็จอุษา’ และ ‘เก็จอาภา’ จริง ๆ อยากให้คนดูเชื่อตรงนี้ เพราะว่าหนูพยายามถ่ายทอดออกมาให้คนดูเชื่อมากที่สุดค่ะ และอยากให้คนดูละครเรื่องนี้แล้วสนุก

โดนัท : จริง ๆ มันเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องแสดงและทำการบ้านให้ดีที่สุด เพราะเรารู้สึกยังไงในตอนที่เล่น ผมเชื่อว่าคนดูก็จะรู้สึกแบบนั้นอยู่แล้ว ผมว่านี่เป็นพื้นฐานง่าย ๆ ที่นักแสดงทุกคนต้องทำ จริง ๆ ความคาดหวังมันแทบไม่มีอยู่แล้ว แค่เราทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่สุด ผมเชื่อว่ามันจะออกมาดีครับ ก็ตามเนื้อเรื่อง ตามสืบไปด้วยกัน รับรองว่าจะมีเรื่องให้เซอร์ไพร้ส์ตลอดทั้งเรื่อง สนุกแน่นอน

Q :  นอกจากความสนุก อยากให้แฟน ๆ ได้ข้อคิดอะไรกลับออกไป?

โดนัท : จากในมุมของตัวละคร จากคนที่ไม่เชื่ออะไรเลย พอมาเจอกัน ได้มาคุยกันมันก็เริ่มเข้าใจความรู้สึกของกันและกัน หลังจากที่มันมีกำแพงปิดกั้นกันหนามาก แต่พอเราได้เปิดใจคุยกันแล้ว หรือเข้าใจกันแล้ว มันก็เป็นข้อคิดนึงที่ทำให้ได้เห็นว่าเวลาที่เราเจอใคร ก็ไม่ควรตั้งกำแพงไว้หนาขนาดนั้น เราต้องเข้าใจในพาร์ทของเขาและยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ก็จะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนกันได้ง่ายขึ้น เข้าใจคนมากขึ้นครับ

 ปูเป้ : เรื่องนี้จะมีแง่คิดในเรื่องของการอย่าตัดสินที่ภายนอก บางทีก็ควรจะรู้จักหรือคุยกันก่อน และเรื่องการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่ใช่แค่ว่าตัดสินทุกอย่างด้วยความคิดของตัวเองค่ะ

Q : อัพเดทผลงานอื่นกันหน่อย?

โดนัท : ของผมมีเรื่อง ‘เสาร์ 5’ ก็ใกล้ปิดกล้องแล้วครับ และก็มีเรื่องที่กำลังถ่ายทำ คือ ‘อุ้มรักปาฏิหาริย์’ ครับ

 ปูเป้ : ปูเป้กำลังถ่ายทำเรื่อง ‘บ่วงวิมาลา’ ค่ะ และละครจักรๆ วงศ์ๆ เรื่อง “เจ้าหญิงพิกุลทอง” ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดปีนี้ก็น่าจะได้เจอกันอีกค่ะ

Q : ในยุคโควิดแบบนี้ ทำให้เราปรับมุมมองการใช้ชีวิตกันบ้างมั้ย?

โดนัท : อันดับแรกคือเรารักษาความสะอาดให้มากขึ้น ดูแลตัวเองให้มากขึ้น และพยายามเซฟทั้งตัวเองและคนอื่น และสอนให้เราอยู่กับมันให้เป็นเพราะว่ายังไง มันก็อยู่รอบตัวเราอยู่แล้ว แต่แค่เราต้องทำให้มันเป็นเชื้อโรคที่เราสามารถอยู่กับมันได้ โดยที่มันไม่ส่งผลอันตรายต่อเรา ก็สอนให้เราอยู่กับมันให้เป็นครับ

 ปูเป้ : ในเรื่องดูแลความสะอาดและระมัดระวังตัวเองมากขึ้น รวมถึงสุขภาพ อาการการกินก็สำคัญ เราไม่ได้ห่วงว่าตัวเองจะเป็นหรือไม่เป็น เพราะเราเป็นเด็กวัยรุ่น มันมีโอกาสที่จะหายได้ง่ายกว่าคนในครอบครัว คุณตา คุณยาย คุณพ่อ คุณแม่ คือคนที่เราห่วงมากที่สุด ไม่ว่าเราจะทำอะไรที่มันเสี่ยงในการมีโอกาสติด ก็จะนึกถึงหน้าของท่านที่บ้าน เพื่อไม่อยากให้ท่านต้องได้รับกาติด ตรงนี้ก็ทำให้เราระมัดระวังตัวเองมากขึ้น และเราต้องอยู่ให้เป็น เพราะเชื้อโรคนี้มันไม่ได้หายไปไหน แต่แค่ว่าต้องดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีกันไว้ก่อน

Q : ตั้งแต่อยู่ในวงการมา ได้เรียนรู้หรือเติบโตในเรื่องอะไรมากที่สุด?

ปูเป้ : ปูเป้อยู่ในวงการมาประมาณ 6 ปีค่ะ แต่ปูเป้คิดว่าตัวเองยังเหมือนเด็กใหม่ในวงการนี้อยู่เลยค่ะ 6 ปีมันเหมือนนาน แต่สำหรับปูเป้รู้สึกว่าเวลามันสั้นมากเลย เรายังต้องพัฒนาตัวเอง ทั้งฝีมือและรูปร่างหน้าตา ทุกอย่างมันยังพัฒนาไปได้อีกเยอะสำหรับช่วงอายุของหนู และมันยังมีบทบาทอีกหลายอย่างที่หนูอยากจะเล่นด้วย หนูอยากอยู่ในวงการนี้อีกนาน ๆ เพราอยากพัฒนาฝีมือและเล่นละครให้คนที่ชอบเราดู

โดนัท : ด้วยความที่อายุของเรายังไม่ได้เยอะมาก เราเริ่มทำงานเร็ว จริง ๆ มันก็เป็นข้อดีอย่างนึง เหมือนเราได้เริ่มเรียนรู้และรู้สักอะไรก่อนคนในวัยเดียวกัน เลยเป็นจุดสตาร์ทที่เร็วกว่า และสิ่งที่เราไม่ควรคิดเลยก็คือหยุดพัฒนาตัวเอง เราต้องพยายามพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ เวลารับบทบาทอะไรมา เราทำให้มันเต็มที่ ทำให้ออกมาดีที่สุด และเวลาที่เจอที่ทำงานใหม่ เราก็พยายามเรียนรู้กับเขา

Q : ในยุคนี้ที่มีแพลตฟอร์มมากขึ้น เรามีมุมมองในแง่การแข่งขันในวงการบันเทิงยังไง?

ปูเป้ : ปูเป้ไม่ได้มองเรื่องการแข่งขัน ไม่ได้คิดว่าจะต้องแข่งอะไรกับใคร แต่สิ่งที่คิดอยู่ตลอดทุกวัน และคิดเสมอมา คือเมื่อเราได้รับให้ทำงานชิ้นไหนก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือต้องทำให้เต็มที่ที่สุด และตรงไหนที่เป็นจุดบกพร่อง หรือมันทำได้ดีกว่านี้ เราก็ควรจะพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ คือแข่งกับตัวเองดีที่สุดค่ะ

โดนัท : เอาจริง ๆ เราไม่ได้มองว่าเราต้องไปแข่งขันกับใคร สิ่งที่สำคัญที่สุดแข่งขันกับตัวเอง และพยายามอย่าหยุดพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อย ๆ และทำผลงานให้มันดีออกมา เพราะว่ายังไงผมเชื่อว่าถ้าผลงานเราออกมาดี มันก็จะส่งผลดีต่อเราเองครับ

Q : เวลาเหนื่อยหรือท้อ คำพูดปลุกพลังคืออะไร?

โดนัท : มันเป็นอัตโนมัติของร่างกายอยู่แล้วมั้งครับ ผมก็จะแบบ สู้! และกลับมาพักผ่อน คือจริง ๆ เราก็มีช่วงที่มันเว้นว่างนิดนึง เราก็ใช้ตรงนั้นไปเปิดประสบการณ์ใหม่ ไปชาร์ตแบต  (ยิ้ม) เราก็มีตรงนี้อยู่แล้ว แต่ในพาร์ทของการทำงานเราก็ทำเต็มที่ไปเลยครับ

ปูเป้ : เวลาที่ปูเป้รู้สึกท้อกับสิ่ง ๆ นึง เราก็แค่ เอาใหม่! ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ก็ทำให้มันดีกว่าเดิม อันไหนที่มันเคยผิดพลาดไป ก็เอาใหม่ อย่าไปทำมันอีก ก็ปรับปรุงตรงนั้น ก็เอาใหม่ทุกครั้งที่เกิดเรื่อง มันจะเป็นกำลังใจ และทำให้เราพัฒนาตัวเองไปได้ในทุก ๆ วันด้วยค่ะ

Q :  มีวิธีรับมือกับเสียงวิจารณ์และมีคอมเม้นต์ต่าง ๆ กันยังไง?

โดนัท : จริง ๆ ผมรับมือกับมันมาตั้งแต่แรกแล้วครับ อย่างผมจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแสดง เราก็พยายามปรับปรุงและรับฟังข้อติชมของเขามา พยามพัฒนาตัวเองมาเรื่อย ๆ จนเริ่มโอเคขึ้นแล้ว เริ่มมีคนชมแล้ว และเราก็พยายามรักษาตรงนี้ไว้ และทำมันออกมาให้ดีต่อไปเรื่อย ๆ พัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ ครับ

 ปูเป้ : เป้ก็คิดเหมือนพี่โด แต่มีความคิดว่ามันไม่มีใครสมบูรณ์หรือเพอร์เฟ็คไปร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าเราโชคดีที่เราไม่ได้มองเห็นตัวเองแค่คนเดียว แต่จะมีคนมองเห็นเราเยอะมากขึ้น รู้จุดบอด จุดบกพร่องของเรา และเขาก็เลือกที่จะแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่เราเห็นออกมา เราก็แค่ถ้าเป็นสิ่งที่เราปรับปรุงได้ และแก้ไขได้ก็ควรทำ เพราะมันส่งผลดีกับตัวเราเองด้วยค่ะ

Q : เวลาที่คนพูดถึงชื่อเรา อยากให้เขาคิดถึงอะไรมากที่สุด?

โดนัท : ผลงานละครครับ เพราะว่ามันเป็นสิ่งนึง ถ้าคนจำภาพเราในละคร หรือเรียกชื่อเราเป็นตัวละครนั้น อันนั้นก็คือการประสบความสำเร็จในเรื่องเกี่ยวกับอาชีพนักแสดงครับ ทุกวันนี้คนยังเรียกผมเป็น ‘ไก่โต้ง’ อยู่เลยครับ (ยิ้ม)

 ปูเป้ : หนูก็เหมือนกัน (ยิ้ม) หนูจะดีใจทุกครั้งนะ ที่เดินข้างนอกแล้วคนเรียกชื่อหนูเป็นชื่อของตัวละคร

Q : ในปีที่ผ่านมามีเป้าหมายอะไรที่ทำเสร็จไปแล้วบ้าง และปีนี้วางเป้าหมายอะไรที่อยากทำให้สำเร็จอีก?

โดนัท : เป้าหมายน่าจะเป็นเรื่องหุ้นของตัวเอง เรื่องการดูพอร์ตหุ้น เพราะว่าเจอสถานการณ์ที่ผ่านมา มันทำให้เราหยุดชะงักไปหลายอย่าง ปีนี้ก็อยากเริ่มต้นใหม่ ปรับปรุงใหม่ทั้งเรื่องเกี่ยวกับของตัวเองและเรื่องการแสดงด้วย ตอนนี้เราเริ่มกลับมาทำงานได้อย่างโอเคขึ้นแล้ว ก็ทำให้เต็มที่ เพราะอยากให้คนดูได้ดูผลงานดี ๆ อยากฝากติดตามผลงานของเราทั้งสองคนด้วยครับ

 ปูเป้ : ปูเป้ประสบความสำเร็จมาก ๆ เลยก็คือหนูได้ถ่ายบทฝาแฝด และเล่นจนจบแล้ว เราเต็มที่ที่สุด แต่สิ่งนึงที่รอคอยและกำลังดูอยู่ก็คือฟีดแบ๊กตอบรับจากคนดูค่ะ ส่วนปีหน้าในผลงานชิ้นใหม่ ๆ แต่ละคาแรกเตอร์ก็ไม่เหมือนกัน และประสบการณ์ในการแสดงแต่ละบทก็ไม่เหมือนกัน ปูเป้ก็อยากพัฒนาฝีมือไปให้ดีกว่าเดิม และแก้ไขจุดบกพร่องของตัวเองจากงานชิ้นก่อน ๆ ปีหน้าก็อยากปรับปรุงและพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านค่ะ

Q : ณ ตอนนี้มีมุมมอง “ความรัก” ในแบบของเรายังไง?

โดนัท : ความรักก็สำคัญครับ ผมมองว่าความรักก็คือสีชมพูของคน ๆ นึง และสีชมพูของอีกคนมารวมกัน ก็จะกลายเป็นสีชมพูที่เข้มขึ้น มันก็เหมือนว่าแต่ละคนมาเติมเต็มให้กันและกัน มันไม่ได้จำกัดว่าจะเป็นความรักเกี่ยวกับแฟนเท่านั้น แต่ก็ยังสามารถให้คนอื่นได้ด้วยทั้งครอบครัวเรา ทั้งเพื่อนร่วมงาน เลยมองว่ามันเป็นสิ่งที่สวยงาม แต่สำหรับผมก็ยังว่าอยู่นะครับ (หัวเราะ)

 ปูเป้ : สำหรับหนูตอนนี้ความรักยังไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นที่สุดในชีวิตค่ะ คือการที่เราทำงานครบ 7  วัน และตอนนี้ปูเป้เรียนไปด้วย เวลามันครบไปแล้ว มันเต็มไปแล้ว 7 วันตลอดทั้งปี เลยรู้สึกว่าเรายังไม่รู้สึกต้องการมีคนรัก เรายังไม่มีเวลามีความรักกับใคร เพราะเวลาไม่พอ เวลางานก็เต็มแล้ว บวกกับเรียนก็เต็มแม็กหมดแล้ว เลยไม่มีเวลาไปอินเลิฟรึเปล่า (ยิ้ม) ให้เป็นเรื่องอนาคตไป แต่หนูไม่ได้ถึงขั้นปิดไปเลย ถ้ามีคนเข้ามาคุย หนูก็อาจคุยบ้าง แต่ก็ไม่ได้เต็มที่กับเขา เพราะว่าเรามีหน้าที่สำคัญที่ต้องไปทำอยู่แล้ว

Q : คนที่จะเอาชนะใจได้ ต้องเป็นยังไง?

โดนัท : ผมมองว่าคนที่สามารถเข้าใจเรา โดยที่เราไม่ต้องพูดเยอะ ผมรู้สึกว่าผมชอบ และหลงเสน่ห์คนที่มีความคิด มีเหตุผล โตเป็นผู้ใหญ่ ผมจะรู้สึกว่ามันสามารถคุยกันได้ง่ายขึ้น และคลิกขึ้น เพราะส่วนตัวผมไม่ชอบมีปัญหากัน ไม่ชอบทะเลาะกัน ถ้าเราเข้าใจกันและคุยกันรู้เรื่องก็โอเคแล้วครับ

 ปูเป้ : สำหรับปูเป้ก็เหมือพี่โด คือแค่เข้าใจกันไม่ต้องมีปัญหามาทะเลาะ เพราะเราเต็มที่กับงานไปแล้ว ก็อยากคุยกับคนที่สบายใจเนอะ คุยอะไรก็ได้ เป็นคนที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบ สุภาพ และเข้าใจเราทั้งหมด ไม่จุกจิกจู้จี้

Q : พูดถึงแฟนคลับหรือแฟนละคร มีอะไรประทับใจเล่าให้ฟังบ้าง?

โดนัท : ด้วยสถานการณ์ตอนนี้เรายังไม่สามารถจะมาเจอกันได้ แต่เรายังรู้สึกว่าได้รับความรักจากเขา ไม่ว่าจะเป็นทั้งอัพเดทผลงานให้เรา พยายามอัพเดทความเคลื่อนไหวให้เรา ไม่ว่าจะเป็นมีโพสต์อะไรที่เกี่ยวกับเรา เขาก็พยายามแท็กมาให้ เขาก็พยายามติดตามเราอยู่ ไม่หายไปไหน แม้ว่าตัวเราจะห่างกัน แต่ใจเราใกล้กันครับ

 ปูเป้ : หนูมีความสุขทุกครั้งที่ไม่ว่าลงสตอรี่ หรือมีงานอะไร แฟนคลับจะคอยแคป มันทำให้เรารู้สึกว่าเขาตามเราตลอด เขารอดูเราอยู่เสมอ แม้ว่าตอนนี้ผลงานเรายังไม่ออนแอร์ หรืออนแอร์อยู่ หรือเรากำลังถ่ายทำอย่างหนัก เขาก็จะคอยให้กำลังใจเรา ไม่ว่าจะเป็นคอมเม้นต์หรือแท็กทั้งทางไอจีหรืออะไรก็แล้วแต่ เขาจะคอยให้กำลังใจและซัพพอร์ทเราอยู่เสมอ เป็นความรักที่เรารู้สึกอยากขอบคุณทุกคนมาก ที่มาชอบเรา รักและคอยซัพพอร์ทเราค่ะ

Q : ฝากผลงานและฝากถึงแฟนคลับ?

โดนัท : ก็ฝาก ‘รางรักพรางใจ’ ด้วยนะครับ และฝากแฟน ๆ ติดตามผลงานและขอบคุณมากที่ยังคิดถึงเราทั้งคอมเม้นต์ต่าง ๆ ที่มาหาเรา ก็ขอบคุณมากครับ

ปูเป้ : ขอฝากผลงานเรื่องต่อไปของเราทั้งสองคนด้วย และคอยเห็นกำลังให้เราด้วยนะคะ

เห็นความตั้งใจและทุ่มเทของ โดนัทและ ปูเป้แบบนี้ แฟน ๆ อย่าลืมตามไปให้กำลังใจทั้งคู่ได้ใน รางรักพรางใจ ทุกวันจันทร์ อังคาร เวลา 20.30 น.  ทางช่อง 7HD กด 35