เมื่อวันที่ 18 ก.ค. นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ในฐานะโฆษกคณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ และ ICT ในคณะกรรมาธิการ (กมธ.)วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 กล่าวถึงกรณีนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย แถลงข่าวระบุถึงการจัดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำว่า ที่ประชุมยังไม่มีการพิจารณาในงบประมาณส่วนนี้ ซึ่งตามกำหนดการจะเข้าที่ประชุมงบประมาณวันที่ 22-23 ก.ค.นี้ โดยเป็นการเสนอเข้ามาของกองทัพเรือ แต่การที่นายยุทธพงศ์ ออกมาแถลงข่าวลักษณะโจมตีรัฐบาล เสมือนว่างบประมาณในส่วนนี้ได้ผ่านที่ประชุมไปแล้ว เป็นการกระทำที่เสียมารยาท หวังแค่จะตีกินทางการเมือง มโนภาพ จินตนาการให้เกิดความเสียหายกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่ยังไม่มีมูลความจริง
“ผมเห็นพฤติกรรมตีกินแบบนี้ของนายยุทธพงศ์มาตลอดตั้งแต่เข้ามาเป็น ส.ส.กว่า 2 ปี ผมก็มีคำถามว่า นายยุทธพงศ์ ยังมีความเหมาะสมที่จะเป็นกรรมาธิการต่อไปหรือไม่ เมื่อที่ประชุมยังไม่มีการพิจารณาหรือหยิบเรื่องนี้มาพูดคุยเลย แต่นายยุทธพงศ์กลับออกมาโวยวาย ให้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต เจตนาของนายยุทธพงศ์ต้องการออกมาพูดให้ประชาชนเข้าใจผิดรัฐบาลใช่หรือไม่ สถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตเช่นนี้ นายยุทธพงศ์ยังต้องการสร้างความแตกแยกไปเพื่อประโยชน์ของพวกพ้องตัวเองใช่หรือไม่”นายสิระ กล่าว
นายสิระ กล่าวต่อว่า นายยุทธพงศ์ต้องไปซื้อหนังสือมารยาทไปต้มกินบ้าง จะได้รู้ว่าการทำงานร่วมกับคนหมู่มาก ต้องทำตัวอย่างไร การเอาความคิดเห็นของตัวเอง มาชิงเด่นชิงดังกว่าเพื่อน พฤติกรรมแบบนี้ใช่หรือไม่ถึงอยู่ร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ ในส่วนชื่ออักษรย่อที่นายยุทธพงศ์นำไปแถลงข่าว ก็ต้องรับผิดชอบหากเกิดความเสียหายกับบุคคลที่3 ต้องรับกรรมที่ตัวเองทำที่แถลงข่าวโดยไม่มีข้อเท็จจริง แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ขอให้นายยุทธพงศ์กล้า ๆ เปิดเผยชื่อจริงพร้อมหลักฐานออกมา อย่ากล่าวหาผู้อื่นลอย ๆ
นายสิระ กล่าวถึงการเชิญผู้บริหารของหน่วยงานต่าง ๆ มาชี้แจงว่า ขณะนี้อยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด -19 ทางคณะ กมธ.จึงได้ให้ผู้บริหารแต่ละกระทรวงมาชี้แจงผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบซูม ซึ่งมีผู้บริหารแต่ละกระทรวงได้ชี้แจงเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนางบประมาณของแผ่นดินเช่นเดิม เพียงแค่ใช้ระบบออนไลน์ ลดการมารวมตัวในห้องประชุมแคบ ๆ ที่อาจจะก่อให้เกิดการแพร่ระบาดได้ เพราะฉะนั้นการดำเนินการเช่นนี้ของกรรมาธิการ ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะการประชุมทุกครั้ง มีตัวแทนทั้ง ส.ส.ฝั่งรัฐบาลและฝ่ายค้าน จึงไม่มีข้อสงสัยเรื่องของความไม่โปร่งใสอยู่แล้ว.