สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 17 ก.ค.ว่าพญ.โรเชลล์ วาเลนสกี ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ( ซีดีซี ) กล่าวเมื่อวันศุกร์ ว่าค่าเฉลี่ยการพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 ของสหรัฐ ในรอบ 7 วันล่าสุด อยู่ที่มากกว่า 26,000 คน เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า หรือประมาณ 70% จากค่าเฉลี่ยของเดือนมิ.ย.ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 11,000 คน 
ทั้งนี้ รัฐที่พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมากอย่างมีนัยสำคัญ คืออาร์คันซอ ฟลอริดา ลุยเซียนา เนวาดา และมิสซูรี ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มรัฐที่มีอัตราการฉีดวัคซีนยังอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะสัดส่วนผู้ป่วยใหม่ในรัฐฟลอริดา คิดเป็นทุก 1 ใน 5 ของผู้ติดเชื้อใหม่ที่พบรายวันทั่วประเทศ 
ขณะเดียวกัน อัตราการพบผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ของสหรัฐในรอบสัปดาห์ล่าสุด เพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับสถิติในรอบ 7 วันก่อนหน้า และสถิติในรอบ 10 วันล่าสุดปรากฏว่า มีชาวอเมริกันประมาณ 5 ล้านคนเท่านั้นมารับการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอตัวมากขึ้นเมื่อเทียบกับสถิติของเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา 
ด้านนพ.แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดต่อและภูมิแพ้แห่งชาติของสหรัฐ ( เอ็นไอเอช ) และที่ปรึกษาทางการแพทย์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวว่า เชื้อไวรัสโคโรนากลายพันธุ์ "เดลตา" กำลังเป็นสายพันธุ์หลักของโลก โดยแพร่ระบาดไปแล้วในมากกว่า 100 ประเทศ รวมถึงสหรัฐ และด้วยอัตราการแพร่ระบาดที่รวดเร็วกว่าเชื้อสายพันธุ์ดั้งเดิมมาก จึงเรียกได้ว่า ณ เวลานี้ เชื้อเดลตา "เป็นสายพันธุ์หลัก" ของวิกฤติโรคโควิด-19 บนโลก.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES