ปีเก่าผ่านไปแล้ว ปีใหม่ก้าวเท้าเข้ามาแทน ความเปลี่ยนแปลงนี้จะมากจะน้อยก็สร้างความหวังใหม่ ๆ ขึ้นในใจคน แม้ว่าเราจะยังต้องต่อสู้กับสถานการณ์โรคระบาดกันต่อไป
แน่นอนว่าโรคร้ายอย่างโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตของผู้คนจำนวนมาก บ้างก็พลิกผันจากระบบเดิมสู่ระบบใหม่ด้วยความจำเป็น ซึ่งมีหลายฝ่าย หลายกลุ่ม ให้ความเห็นถึงวิถีชีวิตของโลกในปีใหม่นี้และปีต่อ ๆ ไปว่า จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป
จาก Hybrid Work สู่ Work From Home และ Work From Anywhere
สถานการณ์ของทุกวันนี้มีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อวิธีการทำงานของบริษัทและองค์กรทั่วโลก โชคยังดีที่โลกเดินมาถึงจุดที่มีเทคโนโลยีรองรับการทำงานจากระยะไกลได้ในระดับหนึ่ง ทำให้หลายบริษัทเริ่มยอมรับแนวคิดในการทำงานแบบใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องมานั่งประจำการในออฟฟิศ
ในช่วงก่อนหน้านี้ที่การระบาดของโรคเริ่มเบาลง แต่หลายบริษัทใหญ่ เช่น กูเกิล กลับตัดสินใจที่จะใช้โมเดลการทำงานแบบใหม่ โดยให้พนักงานเลือกได้ว่าจะทำงานที่บ้านหรือที่ไหนก็ได้ สำหรับตำแหน่งที่ไม่จำเป็นต้องมาประจำที่สำนักงาน และรูปแบบในลักษณะนี้ เริ่มได้รับการยอมรับในอีกหลายองค์กร
แต่แน่นอนว่า บุคลากรแต่ละคนนั้นมีความขยันหรือมีประสิทธิภาพในการทำงานมาก-น้อยไม่เท่ากัน สิ่งที่ตามมาก็คือบริษัทจะต้องการวิธีการหรือเทคโนโลยีที่สามารถตรวจสอบการทำงานของพนักงานได้จากระยะไกล รวมถึงการวัดผลงานที่ได้ออกมา
Micropolitan และการกระจายตัวของถิ่นที่อยู่
เมื่อโมเดลของการทำงานระยะไกลเริ่มเป็นที่ยอมรับ คนในวัยทำงานก็จะมีทางเลือกด้านที่อยู่อาศัยมากขึ้น ในเมื่อไม่จำเป็นต้องเข้าสำนักงานทุกวัน ก็ไม่จำเป็นต้องหาทำเลที่พักเพื่อความสะดวกในการเดินทาง แต่หันไปหาทำเลที่ตอบโจทย์ชีวิตด้านอื่นแทน ความเป็นไปในลักษณะนี้จะทำให้เกิดการกระจายตัวของถิ่นที่อยู่ คนไม่จำเป็นต้องมากระจุกตัวในเมืองใหญ่อีกต่อไป และอาจมีส่วนให้เมืองเล็ก ๆ หรือเมืองตามชายขอบความเจริญมีโอกาสได้เติบโตมากขึ้นในลักษณะของ Micropolitan ซึ่งเป็นแนวคิดของชุมชนขนาดย่อมที่มีหลายประเทศเริ่มทดลองทำ เช่น สหรัฐอเมริกาและจีน ลักษณะของเมืองขนาดเล็กนี้จะมีจำนวนประชากรอยู่ที่ 10,000-50,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง เป็นชุมชนที่อยู่กันแบบพึ่งพาอาศัยกัน ไม่เน้นทำธุรกิจตามแนวคิดทุนนิยมที่จะมีผลทำให้ราคาที่ดินสูงขึ้น นอกจากนี้ยังคำนึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก
Return to retro and nature : หวนคืนสู่อดีตและธรรมชาติ
ในขณะที่โลกกำลังเดินหน้าอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ยังไม่นับเรื่องสังคมที่กำลังจะก้าวสู่โลกเสมือนจริงอย่างเมตาเวิร์ส สภาพแวดล้อมเช่นนี้ทำให้คนจำนวนไม่น้อยเริ่มรู้สึกอยากกลับไปหาความเรียบง่ายของวิถีชีวิตแบบวันวาน หรือชีวิตที่อิงธรรมชาติมากกว่าเทคโนโลยี ดังนั้น กิจกรรมหรือสถานที่ใดๆ ที่เกี่ยวข้อง ‘อดีต’ และ ‘ธรรมชาติ’ ที่หวานชื่น ให้ความสบายใจ ทำให้รู้สึกถึงความประณีต ละเอียดอ่อน คือแนวโน้มที่จะมาแรงของปีนี้
ไม่เพียงเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตที่ใกล้ชิดธรรมชาติ แต่รวมถึงการเลือกข้าวของเครื่องใช้ อาหาร เสื้อผ้าและแม้กระทั่งที่อยู่อาศัยที่ให้กลิ่นอายของความเป็นธรรมชาติ เป็นของที่ผ่านการปรุงแต่งน้อย มีความเรียบง่าย จะกลายเป็นจุดเด่นที่เรียกร้องความสนใจของคนได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์แบบมินิมัลลิสม์ แนวคิดแบบฮุกกะ-ลุกกะของเดนมาร์ก หรือวะบิซะบิของญี่ปุ่น ก็จะยังคงเป็นเทรนด์ยอดนิยมของไลฟ์สไตล์คนทั่วโลกไปอีกนาน
Rebalancing : วิถีชีวิตที่เน้นสมดุลของกายและจิต
ผลจากการมีชีวิตอยู่ด้วยความระวังปนระแวงมาเป็นปี ๆ เพราะไม่รู้จะติดเชื้อได้เมื่อไหร่ มีส่วนทำให้คนจำนวนมากหันมาสนใจเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น จึงเกิดบริการใหม่ๆ และเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยให้ผู้คนสามารถดูแลตัวเองได้ดีขึ้นและง่ายขึ้น ผู้คนจะหันไปพึ่งพาอุปกรณ์และแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงข้อมูลทางสุขภาพที่ตัวเองสนใจ และใช้บริการข้างเคียง เช่น จ้างผู้เชี่ยวชาญส่วนตัวเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะจุด หรือสั่งเมนูอาหารที่เลือกให้เหมาะกับสุขภาพตัวเองได้
นอกจากเรื่องสุขภาพกาย บริการเพื่อดูแลสุขภาพจิตก็จะได้รับความนิยมยิ่งขึ้น เมื่อโรคทางจิตที่มากับโควิดอย่าง ‘Corona Blue’ ซึ่งเป็นอาการซึมเศร้าที่เกิดจากความเครียดสะสมเนื่องจากต้องทำตามมาตรการป้องกันโรคต่าง ๆ เริ่มกลายเป็นปัญหาใหญ่ ผู้คนจะมองหาที่พึ่งทางใจและผู้เชี่ยวชาญที่แก้ปัญหาทางจิต อุปกรณ์ แอพพลิเคชั่นหรือคอร์สบำบัดต่าง ๆ ที่จะส่งผลดีต่อจิตใจ ช่วยคลายความกังวลจะกลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ.
เครดิตภาพ : Getty Images
