ก่อนเข้าสู่ช่วงสุดสัปดาห์นี้ที่เกมพรีเมียร์ลีก เลื่อนกันระนาว เกม “ไก่เดือยทอง” ทอตแนม ฮอตสเปอร์ เปิดบ้านรับมือ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เมื่อวันอาทิตย์ เป็นอีกเกมที่เต็งจ๋าว่าน่าจะถูกเลื่อน เพราะทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีเคสผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในทีม

ยิ่งมีข่าวก่อนเกมว่า ติอาโก อัลคันทารา มิดฟิลด์ “หงส์แดง” เจอเชื้อเส็งเคร็งเล่นงานไปอีกราย ยิ่งมีเปอร์เซ็นต์เลื่อนสูง แต่กลายเป็นว่าเกมคู่นี้เตะได้เสียอย่างนั้น

ขณะที่ เชลซี มีรายงานเคสเป็นบวกในทีม 7 คน ยื่นเรื่องขอเลื่อนเกมเยือน วูล์ฟแฮมป์ตัน พรีเมียร์ลีก ก็ไม่ให้เลื่อนเสียอย่างนั้น บางทีก็งงเหมือนกันว่าปัจจัยมาตรฐานในการให้เลื่อนหรือไม่เลื่อนเกมคืออะไร?

แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าศึกสัตว์ปีกระหว่าง “ไก่เดือยทอง-หงส์แดง” ที่ไม่เลื่อน กลายเป็นเกมที่ทำให้แฟนบอลแดนผู้ดี ซึ่งอยู่ในอารมณ์มึน ๆ อึน ๆ กับเหตุการณ์ในสัปดาห์นี้ได้สนุกตื่นเต้นขึ้นมาได้บ้าง…

ไม่ใช่ “ได้บ้าง” สิ แต่เป็น “ได้มาก” เลยแหละ…

ถึงขั้นที่ แกรี เนวิลล์ กูรูลูกหนังของ “สกายสปอร์ตส์” ถึงกับบอกว่านี่คือหนึ่งในเกมที่คลาสสิก และดีที่สุดเกมหนึ่งที่เขาเคยเห็นมาเลยทีเดียว…!!!

ตั้งแต่เสียงนกหวีดเริ่มเกม ทั้ง 2 ทีมสาดอาวุธใส่กันไม่ต่างกับเมื่อครั้ง “แรมโบ้” พงษ์ศิริ พ.ร่วมฤดี ใส่กับ “ไอ้เลือดเหล็ก” ไพโรจน์น้อย ส.สยามชัย ที่เวทีลุมพินีเมื่อร่วม ๆ 30 ปีก่อน ที่ระฆังเริ่มยกแรกดังเก๊งขึ้นมาก็ล่อกันนัวทันที

ลิเวอร์พูล ที่แดนกลางไม่มี ฟาบินโญ และ ติอาโก ที่ติดโควิด รวมถึง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ป่วย และต้องใช้ไอ้หนู ไทเลอร์ มอร์ตัน กับ เจมส์ มิลเนอร์ เล่นมิดฟิลด์ตัวกลางร่วมกับ นาบี เกอิตา นั้น เป็นฝ่ายเพรสซิงและครองบอลบุกใส่

ขณะที่ “ไก่เดือยทอง” ที่ได้พักยาวมา 2 สัปดาห์เต็ม ๆ นั้น อันโตนิโอ คอนเต วางหมากมาแบบใช้การสวนกลับเป็นอาวุธเด็ด และต้องบอกว่าการสวนของ แฮร์รี เคน, ซอน เฮือง มิน รวมถึง เดเล อัลลี ที่ได้รับโอกาสเนตัวจริงในเกมนี้นั้น ขึ้นมาแต่ละทีถึงขั้น “เอาตาย”…

หลังจาก สเปอร์ ขึ้นนำจากลูกที่ ตองกีย์ เอ็นดอมเบเล ไหลเข้าช่องให้ แฮร์รี ปาดเรียดเข้าเสาไกล เป็นประตูแรกของเจ้าตัวในเกมลีกนัดเหย้าซีซั่นนี้ (ไม่น่าเชื่อ…) บรรดาลูกทีมของ เจอร์เกน คลอปป์ ยิ่งเร่งเครื่อง ไล่เพรสซิงอย่างหนัก ก่อนจะมาได้ประตูตีเสมอจากลูกโหม่งของ ดีโอโก โชตา

เข้าสู่ครึ่งหลัง เกมยังคงสนุกตื่นเต้นไม่ต่างกัน “หงส์แดง” แซงขึ้นนำบ้างจากลูกโหม่งจ่อ ๆ ของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แต่ “ไก่เดือยทอง” มาตามตีเสมอได้อย่างรวดเร็วเมื่อ อลิสซอน เบคเกอร์ ออกมาหวดสกัดวืด จึงโดน ซอน เฮือง มิน สำเร็จโทษใส่ตาข่ายโล่ง ๆ ไม่เหลือซาก

โดยที่ในระหว่างทั้ง 4 ประตูที่ว่า และตลอดทั้งเกม ทั้ง 2 ทีมต่างมีโอกาสทำประตูใส่กันชนิดจะแจ้งน่าเป็นประตูสุด ๆ มากมายนับไม่ถ้วน และหลายคนบอกว่านึกว่านั่งดูบาสเกตบอลอยู่ เพราะบุกโต้กันไปมาแทบไม่ได้หยุด…

และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ และถือเป็นสิ่งที่ยิ่งทำให้เกมนี้เดือดทะลุปรอท ก็คือจังหวะกังขาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งจังหวะที่ โชตา และ เดเล อัลลี โดนผลักหลังคว่ำลงในเขตโทษ ที่ไม่เป็นจุดโทษทั้งคู่ หรือจังหวะก่อนได้ประตูที่ 2 ของ ลิเวอร์พูล ที่เหมือนจะโดนมือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แต่ วีเออาร์ ปล่อยผ่าน

แต่ที่วิจารณ์กันให้ขรมทั่วโลกโซเชียล ก็คือจังหวะโดนไล่ออกของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่ไปหวด เอแมร์ซอน โรยาล คว่ำข้าวเม่า และโดนใบแดงแจ้งโทษหลัง พอล เทียร์นีย์ ผู้ตัดสินเกมนี้ไปเช็ควีเออาร์แล้ว ซึ่งดูแล้วก็เป็นใบแดงได้ เพราะที่ “ร็อบโบ” หวดเข้าไปนั้นไม่ได้สัมผัสบอล แต่เป็นน่องของแบ๊กเจ้าบ้านเต็ม ๆ แถมเหมือนจะมีลูกเจตนานิด ๆ

แต่ที่แฟนบอล “หงส์แดง” เคือง คือมองย้อนไปในครึ่งแรก แฮร์รี เคน ก็เปิดปุ่มยันใส่ โรเบิร์ตสัน ชนิดน่าโดนใบแดงเช่นกัน แต่ทีมผู้ตัดสินและทีมวีเออาร์กลับป่อยผ่าน ทั้งที่เคสแบบนี้เคยมีโดนไล่ออกให้เห็นมาแล้วไม่น้อย

พูดง่าย ๆ คือ “ร็อบโบ” โดนใบแดงนั้นไม่เถียง แต่ที่เถียงคือถ้าอย่างนั้น เคน ก็ควรต้องโดนด้วย เพราะดูแล้วระดับโทษและความรุนแรงไม่น่าต่างกัน…!!!

แต่ก็นั่นแหละครับ เกมที่จะ “คลาสสิก” นอกจากรูปเกมที่สนุกตื่นเต้นแล้ว ประเด็นกังขาทั้งหลายก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้เกมเป็นที่จดจำ

สำหรับ “หงส์แดง” 1 แต้มจาก ทอตแนม ฮอตสเปอร์ อาจดูว่ายุติธรรมดีแล้ว หากดูจากรูปเกมรวมถึงการเสียเปรียบตัวผู้เล่นในช่วง 13 นาทีสุดท้าย แถมการได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างเกมที่สนุกตื่นเต้น เป็นที่น่าจดจำ ย่อมเป็นเรืองดี และน่าปรบมือ

แต่สุดท้าย สิ่งที่เกิดขึ้นจริง และเป็นเรื่องสำคัญเหนือสิ่งอืนใดคือระยะห่างในตารางคะแนน ที่ตอนนี้ “หงส์แดง” ตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี เพิ่มเป็น 3 คะแนนแล้ว

อันนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีแน่…

เครดิตภาพ : AP, REUTERS