สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ว่าผลการศึกษาโดยอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน ที่ใช้ข้อมูลเบื้องต้น “ขนาดเล็ก” ที่เป็นผู้ป่วยยืนยันว่าติดโควิด-19 จากผลการตรวจพีซีอาร์ ระหว่างวันที่ 29 พ.ย. ถึง 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา จากสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ (เอ็นเอชเอส) และสำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร ปรากฏว่า “ยังไม่พบข้อบ่งชี้” ทั้งในด้านการต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล และอาการของโรค ว่าเชื้อโอไมครอน “มีความรุนแรงในระดับที่แตกต่าง” จากเชื้อเดลตา


ขณะที่ผลวิเคราะห์ตามตัวแปรควบคุมในการทดลอง ทั้งสถานะการฉีดวัคซีน อายุ เพศ เชื้อชาติ การติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการ ที่อยู่อาศัยปัจจุบันของผู้ติดเชื้อ และวันที่เก็บตัวอย่าง ปรากฏว่า เชื้อโอไมครอนมีความเสี่ยงของการติดซ้ำมากกว่าเชื้อเดลตา อยู่ที่ 5.4 เท่า และวัคซีนทุกชนิดมีประสิทธิภาพลดลงเมื่อพบกับเชื้อไวรัสโคโรนากลายพันธุ์ตัวนี้


อย่างไรก็ตาม รายงานของอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน เชื่อว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นหรือบูสเตอร์จะช่วยบรรเทาความเสี่ยงของการป่วยขั้นวิกฤติ และการเสียชีวิตจากเชื้อโอไมครอน ได้ที่ระดับ 80-85.9% แม้ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับการฉีดวัคซีนเข็มที่สามเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อเชื้อเดลตา ซึ่งมีประสิทธิภาพอยู่ที่ประมาณ 95%.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES