เริ่มเปิดฉากมาได้เป็นเวลา 2 เดือนกว่าแล้ว สำหรับงาน เวิลด์ เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ (WORLD EXPO 2020 DUBAI) ที่ถือเป็นงานใหญ่ระดับโลก เป็นรองเพียง มหกรรมกีฬา อย่างโอลิมปิก และฟุตบอลโลก เท่านั้น โดยมีกำหนดจัดในทุกๆ 5 ปี ภายใต้การกำกับดูแลขององค์การระหว่างประเทศว่าด้วยงานมหกรรมโลก Bureau of International Exposition (BIE)
งานในครั้งนี้ ทาง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รับบทเป็นเจ้าภาพ นับเป็นงานแสดงนิทรรศการระดับโลก ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในภูมิภาคตะวันออกกลาง แต่ต้องเลื่อนการจัดงานมาจากปีที่แล้ว เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 โดยมีกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 1 ต.ค.64-31 มี.ค.65 ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นเวลา 6 เดือนเต็ม ซึ่งมีสมาชิกเข้าร่วมทั้งหมด 192 ประเทศ โดยได้ทำการเนรมิตพื้นที่ทะเลทราย 4.3 ตารางกิโลเมตร ราว 2,700 ไร่ เป็นพื้นที่จัดงาน ด้วยงบลงทุนกว่า 6,800 ล้านดอลลาร์
หากคิดไม่ออกว่าพื้นที่ใหญ่ขนาดไหน หากเทียบง่ายๆ ก็ประมาณ 600 สนามฟุตบอลเลยทีเดียว เรียกว่าเดินวันเดียวไม่มีทางทั่วอย่างแน่นอน หากเดินเยี่ยมชมอาคารแสดง หรือพาวิลเลียนของประเทศต่างๆ ได้ถึง 8 พาวิลเลียนใน 1 วัน ก็ถือว่าเก่ง ซึ่งอาคารแสดงของบางประเทศที่ได้รับความสนใจมาก อาจต้องใช้เวลาในการต่อแถวรอเข้าชม จึงเป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมถึงมีระยะยเวลาการจัดงานยาวถึง 6 เดือนเต็ม
โดยทางเจ้าภาพคาดหวังว่า จะมีผู้เข้าร่วมชมงานประมาณ 25 ล้านคน ซึ่งสองเดือนที่ผ่านมามีผู้เข้าชมงานแล้วมากกว่า 4 ล้านคน
บัตรเข้าชมงานมีหลายรูปแบบ
สำหรับบัตรเข้าชมงาน เวิลด์ เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ ทางเจ้าภพาแบ่งออกเป็น 4 แบบ ตามอายุการใช้งาน ดังนี้
• 1 วัน ราคาใบละ 95 เดอร์แฮมสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (AED) / 26 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 870 บาท
• 30 วันติดต่อกัน ราคาใบละ 195 เดอร์แฮมสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ / 53 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,781 บาท
• 6 เดือน ราคาใบละ 495 เดอร์แฮมสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ / 135 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4,530 บาท
• ครอบครัว ราคาใบละ 950 เดอร์แฮมสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ / 259 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 8,700 บาท
แน่นอนว่าใครที่ต้องการเข้าชมงานเรื่องตั๋วเข้าชมเป็นเรื่องสำคัญ โดยทางเข้าภาพมีการขายตั๋วทั้งผ่าน ทางออนไลน์ และหน้างาน โดยใครที่ซื้อทางออนไลน์เมื่อมาถึงงานก็เปิดโทรศัพท์ให้เจ้าหน้าที่สแกนตั๋วเข้างานได้เลย หรือใครไม่ได้ซื้ออนไลน์ ก็มีช่องขายตั๋วหน้างาน ซึ่งก็ไม่ค่อยมีคนต่อคิวซื้อตั๋วมากเท่าไร เพราะส่วนใหญ่จะซื้อ ทางออนไลน์เพราะสะดวกกว่า เมื่อสแกนตั๋วเข้างานแล้ว ทุกคนต้องผ่านการตรวจสัมภาระกระเป๋าทุกคน มีเครื่องสแกนแบบเดียวกับสนามบิน ซึ่งทางเจ้าภาพจะเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยอย่างมาก
จัดขึ้นใต้แนวคิด “เชื่อมความคิด สร้างอนาคต”
โดยการจัดงาน เวิลด์ เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ มีธีม ภายใต้แนวคิดหลัก “เชื่อมความคิด สร้างอนาคต : CONNECTING MINDS, CREATING THE FUTURE” หรือการสะท้อนให้เห็นถึงการขับเคลื่อน ให้เกิดความก้าวหน้า ด้วยการเชื่อมโยง ผู้คน องค์กร และประเทศต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน จัดแสดงนิทรรศการและนำเสนอแนวคิดภายใต้ 3 หัวข้อย่อย ได้แก่ 1. โอกาส (Opportunity) 2.การขับเคลื่อน (Mobility) และ 3.ความยั่งยืน (Sustainability) โดยมีพาวิลเลียนที่โดดเด่น คือ
1.THE OPPORTUNITY PAVILION: งานสถาปัตยกรรมออกแบบโดย AGi Architects
นำเสนอแรงบันดาลใจให้บุคคลและชุมชนร่วมกันสร้างอนาคตที่ดีกว่า ภายใต้แนวคิด ‘MISSION POSSIBLE’ ที่แสดงให้เห็นว่าเราทุกคนนั้นมีศักยภาพที่จะสร้างความแตกต่าง และสามารถสร้างความยั่งยืนในด้านทรัพยากรน้ำ อาหาร และพลังงานให้เกิดขึ้นกับชุมชนของเราได้
2.THE MOBILITY PAVILION: งานสถาปัตยกรรมออกแบบโดย FOSTER + PARTNERS
นำเสนอการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เทคโนโลยี นวัตกรรม ผ่านนิทรรศการที่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลง นับตั้งแต่ยุคแห่งการโยกย้ายถิ่นฐาน สู่ยุคแห่งการเชื่อมต่อที่ไร้ขีดจำกัด และพาผู้เข้าชมมองไปข้างหน้า ถึงเทคโนโลยีที่สามารถนำพามนุษย์ท่องสู่ดินแดนที่แตกต่างทั้งในอวกาศและโลกเสมือนจริง รวมถึงนวัตกรรมเพื่อคุณภาพชีวิตในอนาคต นอกจากนี้ ผู้เข้าชมยังสามารถขึ้นลิฟต์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่มีความจุถึง 160 คน เพื่อข้ามผ่านกาลเวลาสู่เมืองแห่งอนาคตภายใน MOBILITY PAVILION อีกด้วย
3.THE SUSTAINABILITY PAVILION: งานสถาปัตยกรรมออกแบบโดย GRIMSHAW ARCHITECTS
นำเสนอถึงการดำเนินชีวิตแบบสมดุล สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ และนวัตกรรม เพื่อการอนุรักษ์ระบบนิเวศแบบยั่งยืน ไฮไลต์เด็ดของพาวิลเลียนแห่งนี้ คือการนำผู้เข้าชมไปสัมผัสความสวยงาม ของธรรมชาติบนพิ้นดิน ดำลึกสู่ความพิศวงของโลกใต้ทะเล เข้าใจถึงภัยคุกคามต่อธรรมชาติจากน้ำมือมนุษย์ และสำรวจการพัฒนานวัตกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบรีไซเคิลน้ำ และการออกแบบ ที่ยั่งยืนเพื่อ เป็นทางเลือกแก่ผู้บริโภค
พาวิลเลียนที่น่าสนใจต้องไปชม
อย่างที่บอกว่าในการจัดงานครั้งนี้มีประเทศเข้าร่วมถึง 192 ประเทศ ซึ่งก็มีอาคารแสดงที่น่าสนใจอยู่หลายประเทศ วันนี้จะมาแนะนำบางส่วน เริ่มที่ประเทศเจ้าภาพ
UAE PAVILION
อาคารแสดงของเจ้าภาพ ยูเออี ออกแบบได้อย่างสวยงาม โดยใช้รูปทรงของนกเหยี่ยว ที่โผบิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ ประจำชาติของประเทศ ภายในนำเสนอประวัติศาสตร์ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อของโลก และวิสัยทัศน์อันมุ่งมั่นในการสร้างสังคมที่สงบสุขและเจริญก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
UK PAVILION
อาคารแสดงของประเทศอังกฤษ นำเสนอภายใต้ธีม INNOVATION FOR A SHARED FUTURE ชวนผู้เข้าชมสำรวจนวัตกรรม เพื่ออนาคตร่วมกัน โดยมีไฮไลท์อยู่ที่ศักยภาพการพัฒนาของปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ (AI) สำหรับดีไซน์การออกแบบของอาคาร ได้รับแรงบันดาลใจจากโครงการ BREAKTHROUGH INITIATIVE ซึ่งมุ่งค้นคว้าจักรวาลและการสื่อสารกับชีวิตนอกโลก
REPUBLIC OF KOREA PAVILION
อาคารแสดงของเกาหลีใต้ ตัวอาคารภายนอกออกเเบบด้วยสถาปัตยกรรมแบบ DYNAMIC ที่มีการเคลื่อนไหว และเปลี่ยนแปลงตลอดวัน นําเสนอภายใต้แนวคิด“SMART KOREA, MOVINGTHEWORLDTOYOU” โดยชวนผู้ชมสํารวจไอเดียแห่งอนาคตที่จะช่วยขับเคลื่อนโลกของเราไปข้างหน้าให้ดีขึ้น ทั้งในด้านการขนส่ง เทคโนโลยีดิจิทัลและอื่นๆ
JAPAN PAVILION
มาถึงอาคารแสดงประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่หลายๆ คนชื่นชอบ อาคารถูกออกแบบภายใต้แนวคิด “JOIN. SYNC. ACT.” ที่สื่อถึงการเชื่อมโยงระหว่าง ผู้คน แนวคิด และเทคโนโลยี สำหรับโครงสร้างภายนอกอาคาร มีดีไซน์ที่ประกอบด้วย รูปทรงเรขาคณิต และการผสมผลานระหว่างลวดลายในแบบอาหรับและญี่ปุ่นแบบลงตัว สำหรับตัวนิทรรศการมีไฮไลต์หลากหลายแง่มุมของประเทศญี่ปุ่น ทั้ง ศิลปะ วัฒนธรรม นวัตกรรม และมิตรไมตรีของผู้คน
Thailand Pavilion
ไม่พูดถึงไม่ได้สำหรับ อาคารแสดงประเทศไทย หรือ ไทยแลนด์ พาวิลเลียน ซึ่งการเข้าร่วมงานครั้งนี้ ทาง สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ภายใต้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบ ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง “ไทยแลนด์ พาวิลเลียน” ได้รับความนิยมติดอันดับท็อป 5 แต่หากนับเฉพาะ โซน Mobility ที่ตั้งอยู่ ก็ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1
โดยอาคารแสดงประเทศไทยมีขนาดพื้นที่ 3,606 ตรม. หรือ 2.25 ไร่ ซึ่งถือเป็นพื้นที่ใหญ่ที่สุด เท่าที่ประเทศไทยเคยเข้าร่วมในงานเวิลด์ เอ็กซ์โป มา สำหรับการออกแบบอาคารแสดงประเทศไทย ได้นำเอาเสน่ห์ของคนไทย มาร้อยเรียงอยู่ในทุกองค์ประกอบเพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าชมตั้งแต่แรกเห็นผ่าน ไม่ว่าจะเป็น “ดอกรัก” ที่สื่อถึงการพัฒนาที่แผ่ขยายในวงกว้าง เปรียบเสมือนเกสรดอกไม้ ที่แผ่กระจายและส่งต่อการเจริญเติบโตต่อไป
การใช้ “สีทอง” เป็นสีหลักของตัวอาคารแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์และ แหล่งอารยธรรม ของประเทศไทยตั้งแต่ครั้ง “สุวรรณภูมิ” อาณาจักรไทยที่ยิ่งใหญ่เปี่ยมไปด้วยอารยธรรมยาวนานในอดีต ส่วนตัวอาคารโดดเด่นด้วยลวดลายการถักทอคล้ายม่านดอกไม้ (ดอกรัก) เพื่อสื่อถึงการเชื่อมต่อ ของคนไทยในยุคดิจิทัล และยังดึงเอาสถาปัตยกรรมไทยอย่างศาลาหน้าจั่ว ซึ่งมีลักษณะคล้ายการไหว้ที่งดงามมาเป็นทางเข้า ตัวอาคาร ที่พร้อมเปิดต้อนรับทุกคนจากทั่วโลก
นอกจากนี้มีการนำรูปแบบของการร้อยมาลัยมาใช้ในงานผนังตกแต่งของอาคาร เพื่อสร้างจินตภาพ ให้กับผู้เข้าชมอาคาร รับรู้ถึงกลิ่นหอมและรู้สึกถึง “กลิ่นไทย” ด้วยองค์ประกอบทั้งหมด ทำให้อาคารแสดงประเทศไทย สามารถแสดงถึงเอกลักษณ์ของวัฒนธรรม และรูปแบบของสถาปัตยกรรมไทยได้อย่างชัดเจน
สำหรับการแสดง จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “การขับเคลื่อนสู่อนาคต”เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคต แบ่งการนำเสนอออกเป็น 4 ห้องนิทรรศการหลักด้วยเทคนิคพิเศษต่างๆ เพื่อความน่าสนใจ
ห้องนิทรรศการที่ 1 : Thai Mobility ผ่านความงดงามของศิลปะไทย
การจัดแสดงในรูปแบบ Walkthrough Exhibition นำเสนอความงดงามตระการตาของ “เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์จำลอง” ซึ่งเป็นหนึ่งในเรือพระที่นั่งในพระราชพิธีกระบวนพยุหยาตราชลมารค และราชรถในตำนาน ซึ่งเป็นพาหนะเดินทางในวรรณคดีของไทยที่มีความงดงามอย่างยิ่ง
ห้องนิทรรศการที่ 2 : Mobility of Life น้ำขับเคลื่อนชีวิตไทย
การจัดแสดงในรูปแบบ Aquatic Performance สะท้อนภาพประวัติศาสตร์ สังคม ประเพณี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตจากอดีตสู่ปัจจุบัน ภายใต้ร่มพระบารมีของพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ ด้วยพระอัจฉริยภาพและโครงการในพระราชดำริ จึงทำให้ประเทศไทยพัฒนากลายเป็นศูนย์กลาง ของภูมิภาคพร้อมต้อนรับนานาประเทศที่มาท่องเที่ยว ลงทุน ทำธุรกิจฯ
ห้องนิทรรศการที่ 3 : Mobility of The Future การขับเคลื่อนประเทศในยุคดิจิทัล
การจัดแสดงในรูปแบบ 360 Adventure พาผู้ชมขึ้นโดรน พาหนะแห่งอนาคต เดินทางสู่ภาพอนาคตจำลองของประเทศไทยที่พัฒนาเมืองอัจฉริยะ ด้วยความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีดิจิทัลในภูมิภาคอีกด้วย
ห้องนิทรรศการที่ 4 : Heart of Mobility หัวใจหลักของการขับเคลื่อน
การจัดแสดงในรูปแบบ “หนังสั้นจากเรื่องจริง” โดยใช้เทคนิคคือ PYRAMID MOTION PICTURE ผ่านคำบอกเล่าของชาวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทย ในแง่มุมต่างๆ กับเสน่ห์แบบไทยที่สร้างความประทับใจให้ทั่วโลก
จัดกิจกรรมวันพิเศษแสดงเอกลักษณ์- ศักยภาพของไทย
ตลอดการจัดงาน 6 เดือน อาคารประเทศไทย จะมีการจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ เพื่อแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ และศักยภาพด้านต่างๆ อาทิ กิจกรรมส่งเสริมอุตสาหกรรมไมซ์ MICE เทศกาลอาหารไทยและสัปดาห์สุขภาพ เทศกาลลอยกระทงและสายน้ำ วันชาติไทย (Thai National Day ) ระหว่างวันที่ 3-8 ธ.ค. 64 นิทรรศการฉลองครบรอบ 45 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทย กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ 7-12 ธ.ค. 64 เทศกาลดิจิทัลและนวัตกรรม ระหว่างวันที่ 5 ม.ค.-17 ก.พ. 65 สัปดาห์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ระหว่างวันที่ 20 ก.พ.-8 มี.ค. 65 เทศกาลแห่งความสุข ระหว่างวันที่ 11-19 มีนาคม 65 และ เทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 23-31 มี.ค.65
ถือเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ ที่เปิดโอกาสให้ทุกประเทศที่เข้าร่วมงาน ได้นำเสนอวิสัยทัศน์ และแสดงศักยภาพของตัวเองเพื่อนำเสนอสู่สายตาผู้เข้าร่วมชมงาน สำหรับใครที่มีโอกาสเดินทางไป ชมงานระดับโลกแบบนี้ หากมีเวลาไม่มาก คงต้องวางแผนและเลือกว่าอยากจะเข้าชมพาวิลเลียนไหนบ้าง ด้วยความใหญ่ของพื้นที่จัดงานหากเดินให้ครบหมดคงใช้เวลาหลายวัน
ซึ่งระยะเวลาการจัดงานก็เหลืออีกเกือบ 4 เดือน และการเดินทางเข้ายูเออี ก็ไม่ยุ่งยาก เพียงขอวีซ่า ตามระเบียบ และจะต้องมีใบรับรองผลการตรวจโควิด แบบ RT‑PCR ที่เป็นลบ ไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนออกเดินทาง
อย่างไรก็ตามเมื่อเวิลด์ เอ็กซ์ โป 2020 ดูไบ ปิดฉากลงในอีกเกือบ 4 เดือนข้างหน้า หรือวันที่ 31 มี.ค.65 งานเวิลด์ เอ็กซ์ โป ครั้งต่อไปในปี 2025 หรืออีก 4 ปีข้างหน้าจะพบกันที่ เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะมาในธีม Medical เกี่ยวกับสุขภาพและสาธารณสุข ซึ่งประเทศไทยจะมีกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เป็นหน่วยงานหลักในการเตรียมการเพื่อเข้าร่วมในการจัดแสดงอาคารประเทศไทย
เมื่อถึงเวลาต้องติดตามกันว่า “ไทยแลนด์ พาวิลเลียน” จะถูกออกแบบอย่างไรและยิ่งใหญ่ขนาดไหน แล้วพบกันใหม่ในปี 2568 ที่โอซากา.
จิราวัฒน์ จารุพันธ์
ขอบคุณภาพบางส่วนจาก www.expo2020dubai.com