สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองนูเมอา ดินแดนนิวแคลิโดเนีย เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ว่าผลอย่างเป็นทางการของการลงประชามติในนิวแคลิโดเนีย ดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศส ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อวันอาทิตย์ ปรากฏว่า 96.49% ต้องการเป็นดินแดนอยู่ภายใต้อธิปไตยของฝรั่งเศสต่อไป อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ์อยู่ที่เพียง 41.6% เนื่องจากฝ่ายสนับสนุนการเป็นเอกราชร่วมกันบอยคอตการลงประชามติครั้งนี้

ชาวนิวแคลิโดเนียเลือกหยิบบัตรลงประชามติ ก่อนเข้าคูหาลงคะแนน ที่เมืองนูเมอา


ปัจจุบัน นิวแคลิโดเนียมีประชากรเกือบ 295,000 คน จัดการลงประชามติเรื่องนี้มาแล้วสองครั้ง เมื่อปี 2561 และ 2563 ส่วนการลงประชามติครั้งนี้ ถือเป็นครั้งสุดท้าย ตามเงื่อนไขของ “ข้อตกลงนูเมอา” เมื่อปี 2541 ว่าด้วยการกระจายอำนาจ และการจัดลงประชามติ ซึ่งเป็นผลจากความเห็นชอบร่วมกัน ระหว่างชาวพื้นเมืองคานัคซึ่งต้องการเอกราช กับชาวผิวขาวซึ่งยังคงต้องการอยู่กับฝรั่งเศส โดยทั้งสองฝ่ายสู้รบกันมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 70 ราย


การที่นิวแคลิโดเนียจะเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของฝรั่งเศสต่อไป ถือเป็นชัยชนะทางการเมืองและการทูตที่สำคัญมากสำหรับประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ซึ่งกำลังผลักดันนโยบายอินโด-แปซิฟิก ทั้งนี้ รัฐบาลกลางในกรุงปารีสซึ่งปกครองดินแดนนิวแคลิโดเนีย ตั้งแต่ปี 2396 จัดสรรงบประมาณสนับสนุนให้กับรัฐบาลนูเมอาปีละ 1,500 ล้านยูโรในปัจจุบัน ( ราว 57,054.66 ล้านบาท ) คิดเป็นมากกว่า 15% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ( จีดีพี ) ของนิวแคลิโดเนีย และกองทัพฝรั่งเศสยังตั้งฐานทัพที่นี่ด้วย


ขณะเดียวกัน สหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) และอีกหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐและจีน จับตาการลงประชามติครั้งสุดท้ายในหัวข้อนี้ของนิวแคลิโดเนียอย่างใกล้ชิดเช่นกัน ท่ามกลางความพยายามของนานาชาติ ในการสิ้นสุดยุคอาณานิคมอย่างถาวร และการขับเคี่ยวช่วงชิงอิทธิพลของสหรัฐและจีน ในภูมิภาคแห่งนี้.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES, AP