นายจอห์น-เดวิด เลิฟล็อค รองประธานฝ่ายวิจัย บริษัท การ์ทเนอร์ เปิดเผยว่า การ์ทเนอร์ได้คาดการณ์มูลค่าการใช้จ่ายด้านไอทีของประเทศไทย โดยการใช้จ่ายผลิตภัณฑ์และบริการเทคโนโลยีในประเทศไทยในปี 65 จะเติบโตเพิ่มขึ้น 6.4% เทียบจากปีนี้ หรือคิดเป็นมูลค่า 8.7 แสนล้านบาท โดยบริการด้านการสื่อสารเป็นตลาดที่มีมูลค่าการใช้จ่ายไอทีที่ใหญ่ที่สุด แต่คาดว่าจะเติบโตต่ำสุดในปี 65
ส่วนมูลค่าใช้จ่ายในหมวดอุปกรณ์ดีไวซ์ (สำหรับคอมพิวเตอร์พีซีและแท็บเล็ตเป็นหลัก) จะโตสูงสุดที่ 21.7% ในปี 2564 ตามที่การทำงานระยะไกลและการเรียนรู้ทางไกลกลายเป็นวิถีใหม่ โดยผู้บริโภคและองค์กรธุรกิจต่างอัปเกรดอุปกรณ์และ/หรือลงทุนในอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อหลากหลายเครื่องเพื่อใช้ทำงานระยะไกลและแบบไฮบริด
สำหรับการคาดการณ์แนวโน้มการใช้จ่ายไอทีทั่วโลกปี 65 จะมีมูลค่า 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเป็น 5.5% จากปี 64 โดยในปี 65 คาดว่ามูลค่าใช้จ่ายซอฟต์แวร์ระดับองค์กรจะเติบโตสูงที่สุดถึง 11.5% โดยได้แรงขับจากการใช้จ่ายในซอฟต์แวร์โครงสร้างพื้นฐานที่เติบโตแซงหน้าซอฟต์แวร์แอพพลิเคชั่น และการใช้จ่ายด้านอุปกรณ์ดีไวซ์ทั่วโลกพุ่งแตะระดับสูงสุดในปีนี้ (15.1%) เป็นผลมาจากกิจกรรมแบบรีโมตต่าง ๆ อาทิ การทำงาน การดูแลสุขภาพและการเรียนการสอนทางไกลที่ขยายตัวต่อเนื่อง
แต่การ์ทเนอร์คาดว่าในปี 65 จะยังเห็นการเพิ่มขึ้นขององค์กรที่อัปเกรดอุปกรณ์และ/หรือลงทุนในอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อหลากหลายเพื่อสร้างการเติบโตและใช้ตั้งค่าการทำงานแบบไฮบริด โดยการ์ทเนอร์ยังคาดการณ์ด้วยว่าซอฟต์แวร์ระดับองค์กรจะเป็นกลุ่มที่มีมูลค่าการใช้จ่ายเติบโตสูงที่สุดในปี 65 เพิ่มขึ้นที่ 14.8% จากปีก่อน
“สิ่งที่เปลี่ยนแปลงในปีที่แล้วและปีนี้กลับไม่ใช่ตัวเทคโนโลยีแต่เป็นผู้คนที่มีความตั้งใจจริงและกระตือรือร้นในการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในปี 65 ผู้บริหารไอทีจำเป็นต้องกำหนดและตั้งค่าวิธีการทำงานใหม่ ๆ โดยนำความสามารถในการประกอบธุรกิจแยกย่อยและเทคโนโลยีที่รองรับเวิร์กโฟลว์ที่ไม่สอดประสานกัน” นายเลิฟล็อคกล่าว
นอกจากนี้องค์กรธุรกิจจะพัฒนาสร้างเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น แทนที่จะเป็นการซื้อและเอาไปใช้ ซึ่งส่งผลให้มูลค่าการใช้จ่ายไอทีปี 65 เติบโตลดลง เมื่อเทียบกับปี 64
อย่างไรก็ตาม การสร้างสรรค์เทคโนโลยีดิจิทัลยังเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่สำคัญอันดับต้น ๆ ขององค์กรต่าง ๆ เนื่องจากพวกเขายังมุ่งมั่นสร้างและพัฒนาวิถีการทำงานในอนาคตอย่างต่อเนื่อง และเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเสริมเกราะความปลอดภัย รวมถึงรองรับการทำงานในแบบไฮบริดของพนักงานที่จะทวีความซับซ้อนมากขึ้นในปีหน้า
