ตามรายงานว่าด้วยดัชนีค่าครองชีพโลกปีล่าสุด ซึ่งเผยแพร่โดยหน่วยงานวิเคราะห์เศรษฐกิจ (EIU) ของนิตยสารดิ อีโคโนมิสต์ ระบุว่า เมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลกประจำปี 2564 ก็คือ เทล อาวีฟ แห่งประเทศอิสราเอล แซงหน้าแชมป์เก่าอย่างปารีส ที่ในปีนี้รั้งอันดับที่ 2 คู่กับสิงคโปร์ ซึ่งไม่มีเมืองหลวงอย่างเป็นทางการ โดยทั้งประเทศก็ถือเป็นเมืองหลวงไปด้วย

EIU ชี้ว่าเหตุที่ค่าครองชีพโดยรวมของเทล อาวีฟ พุ่งสูงนั้น เนื่องมาจากราคาสินค้าในชีวิตประจำวันและค่าเดินทางที่สูงขึ้น ตลอดจนค่าเงินอิสราเอลที่แข็งกว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ก็ส่งผลกระทบเช่นกัน

ข้อมูลในการจัดอันดับของรายงานดัชนีค่าครองชีพโลกประจำปี 2564 ได้มาจากการสำรวจค่าครองชีพจากเมืองต่าง ๆ 173 เมืองทั่วโลก ซึ่งมากกว่าปีที่แล้ว 40 เมือง จากนั้นนำมาเปรียบเทียบกับราคาของสินค้าและบริการในชีวิตประจำวันมากกว่า 200 รายการ ข้อมูลดังกล่าวมีทีมงานของ EIU เป็นผู้ดำเนินการสำรวจทุกเดือนมีนาคมและกันยายนของปี

เนื่องจากรายงานยึดค่าครองชีพของนิวยอร์ก ซิตี เป็นหลัก ดังนั้น เมืองใดก็ตามที่มีค่าเงินแข็งกว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ย่อมมีโอกาสที่จะอยู่ในอันดับที่สูงกว่า 

ซูริกและฮ่องกงอยู่ใน 5 อันดับแรก โดยซูริกอยู่ในอันดับ 4 และฮ่องกงอยู่ในอันดับ 5 สำหรับปีนี้ เมืองที่อยู่ในอันดับสูง ๆ ก็ยังคงเป็นเมืองในยุโรปและเมืองใหญ่ในเอเชีย ขณะที่เมืองในประเทศที่มั่งคั่งน้อยกว่าทั้งในตะวันออกกลาง แอฟริกาและเอเชียจะอยู่ในอันดับท้าย ๆ โดยในปีนี้ เมืองที่มีค่าครองชีพถูกที่สุดยังคงเป็นเมืองดามัสกัสของประเทศซีเรีย อันเป็นผลมาจากสงครามกลางเมืองและอัตราเงินเฟ้อที่สูงมาก ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบากเพราะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ซูริกครองที่ 4 ของอันดับเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก รองจากฝรั่งเศสและสิงคโปร์

เมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก 20 อันดับแรก ได้แก่

1. เทล อาวีฟ, ประเทศอิสราเอล

2. (คะแนนเสมอกัน) ปารีส ประเทศฝรั่งเศส, ประเทศสิงคโปร์

4. ซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ 

5. ฮ่องกง

6. นิวยอร์ก ซิตี, รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

7. เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

8. โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก

9. ลอส แอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา

10. โอซากา ประเทศญี่ปุ่น

11. ออสโล ประเทศนอร์เวย์

12. โซล ประเทศเกาหลีใต้

13. โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

14. (คะแนนเสมอกัน) เวียนนา ประเทศออสเตรีย, ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย

16. เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย

17. (คะแนนเสมอกัน) เฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์, ลอนดอน ประเทศอังกฤษ

19. (คะแนนเสมอกัน) ดับลิน ประเทศไอร์แลนด์, แฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี, เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน

แหล่งข่าว

https://edition.cnn.com/travel/article/world-most-expensive-cities-2021/index.html

เครดิตภาพ : Getty Images