เป็นเวลาเกือบ 5 ปีแล้วที่ อิ้งค์-วรันธร เปานิล ได้โลดแล่นในเส้นทางดนตรีและประสบความสำเร็จหนักมาก ซึ่งนอกจากเรื่องดนตรีแล้วหลายคนก็สนใจเกี่ยวกับเรื่องรักของเธอ โดยสาวอิ้งค์ได้มาเล่าเรื่องนี้ผ่านรายการ Woody FM เกี่ยวกับความรักแบบหมดเปลือก

อิ้งค์ เผยว่า “เอาจริงๆ อิ้งค์เป็นคนคิดเยอะมาก เยอะจนคนรอบตัวรู้ จนกลายเป็นโจ๊กไปเลย เรื่องขำไปเลยก็มี แบบเจอเหตุการณ์คือขำมองหน้ากัน รู้เลยว่าอิ้งค์จะพูดอะไรขึ้นมา หรือจะเป็นอะไรกับเหตุการณ์นี้ที่คิดเยอะเพราะคิดว่าน่าจะเริ่มช่วง ม.ปลาย เพราะว่าเคยผิดหวังมาก่อน ตอนสอบเข้าแผนการเรียนตอน ม.3 ที่จะเข้า ม.4 คือสอบไม่ติดที่เราอยากได้ ก็เลยทำให้เราได้มาเรียนด้านดนตรี หันเข็มทิศมาทางดนตรีล้วนๆ เพราะไม่อยากรู้สึกถึงตอนที่เราสอบเข้าไม่ติด แล้วทุกคนเฟลกับเรา ความรู้สึกวันนั้นเป็นวันที่ประกาศผลแผนการเรียนเขาจะแปะบอร์ดกลางโถงโรงเรียน พอพักเที่ยงทุกคนก็จะวิ่งไปดู ชื่อเราอยู่ไหนก็หาไม่เจอ แต่ไปเจอในรายชื่อสำรองอันดับ 1 แล้วไม่มีใครสละสิทธิเลย กลายเป็นว่าเพื่อนๆ ทุกคนเฮ ๆ กัน แล้วตัวเราคือโลกมืดอยู่คนเดียว เหมือนไฟดับ ตอนนั้นเศร้าแล้วรู้สึกว่าถ้าต้องอยู่ในวันประกาศผลอีกสักครั้งเราจะต้องไม่เจอเรื่องนี้ ตั้งเป้าเลย ฉันจะทำให้ได้ เลยกลายเป็นเครียดขึ้นในการเรียน ไม่อยากทำให้พ่อแม่ผิดหวัง สรุปก็เลยเข้าดนตรี ตั้งเป้าเลยว่าจะเข้า จุฬาฯ เข้าคณะนี้ เอกนี้ แล้วก็มุ่งอย่างเดียว คิดว่าเป็นคนกลัวความล้มเหลวเป็นเพราะวันนั้นเลย”

“ส่วนเรื่องรักหรือแฟน หนูคุยได้ไม่อายนะ แต่คืออิ้งค์เป็นคนชอบอ่านคอมเมนต์ บางทีแม้กระทั่งอิ้งค์โพสต์รูปคู่กับพี่ทีมงาน เป็นครีเอทีฟที่ดูแลอิ้งค์มา แค่ยืนถ่ายรูปคู่ด้วยกันลงเพจตัวเองอัพเป็นอัลบั้มนะคะ แต่รูปนั้นมีคนคอมเมนต์เยอะสุด ไลค์และแชร์เยอะสุด ถามว่ามันเป็นใคร พี่เขาเป็นเหมือนผู้มีพระคุณที่ทำให้อิ้งค์มีเพลงต่างๆ ให้ทุกคนได้ฟังในวันนี้ แต่อยู่ๆ ก็มาโดนเรียกว่า ใครว่ะ มันเป็นใคร เลยคิดว่าเรื่องอะไรแบบนี้มันทำให้อิ้งค์ไม่อยากเอาคนที่เขาไม่ได้อยู่ในจุดที่จะมาเป็นคนที่โดนพูดถึงเรื่องต่างๆ ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะยอมรับได้มั้ง เรามีคนรักทั้งชายและหญิงเลย เคยนั่งคุยกับเพื่อนๆ ค่ะ เขาบอกเหมือนเราประมาณว่าเป็น เกิร์ลเฟรนด์แมทิเรียล คือ อิ้งค์อาจจะไม่ได้เป็นผู้หญิงที่สวยมากหรือเพอร์เฟคกต์มาก แต่ดูง่ายๆ เรียบๆ ดูอยู่ด้วยได้ เป็นแฟนได้ อะไรประมาณแบบนั้นค่ะ”

อิ้งค์ เล่าต่อว่า “ตอนช่วงเด็กๆ มหา’ลัย ช่วงมีแฟน แรกๆ ก็จะงอนข้ามวัน ก็เลยรู้สึกเหมือนมันไม่ได้อะไร พอเราเก็บเรื่องนี้แบกไปหลายๆ วัน เพราะรอว่าเมื่อไหร่เขาจะมาง้อไปเรื่อยๆ กลายเป็นว่าเราเองก็เครียด เขาเองก็ไม่ได้คำตอบ ต่างคนก็ต่างอารมณ์เสียกันไปหลายๆ วัน แบกเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ ก็เลยรู้สึกว่าถ้าเราจะมีแฟน เราก็ต้องเคลียร์เลย คิดว่าถ้าเกิดปัญหาการพูดคุยเป็นคำตอบที่ดี ที่สุดแล้ว เอาให้มันจบ เหมือนหาทางออกร่วมกัน แฟนกันแค่อยู่ด้วยกัน นั่งข้างๆ กันก็แฮปปี้แล้ว ไม่ต้องทำอะไรที่เว่อร์วัง หรือเซอร์ไพร้ส์ แค่ไปกินข้าวกันก็แฮปปี้แล้ว ส่วนวัยเด็ก Puppy Love ถ้าเอาแบบเป็นเรื่องเป็นราวเลย เป็นช่วง ม.1 เด็กมากเลย เป็น Puppy Love ตั้งแต่อิ้งค์พึ่งเข้าโรงเรียนเป็นเด็กใหม่ ด้วยความตอนนั้นเราตัวสูงมาตั้งแต่ ม.1 เลยทำให้ดูเหมือนโตเป็นสาวไว ได้ไปเป็นลีดของโรงเรียน แล้วก็มีรุ่นพี่หลายๆ คน แล้วก็กลายเป็นว่ามีรุ่นพี่ ม.6 คนหนึ่งที่เรารู้สึกว่าน่ารักจังเลย ชอบแกล้งกัน แซวกัน ก็เลยรู้สึกดีๆ ว่าพี่เขาน่ารัก แล้วมีวันหนึ่งได้ประกวดร้องเพลงของโรงเรียน ระหว่างที่ประกวดร้องเพลงรอบชิงพี่เขาก็บอกว่าเขาจะไม่มาดู เราก็โอเคไม่เป็นไร เพราะเขาไม่ว่าง แล้วพอเราร้องเพลงใกล้จะจบเพลง เขาก็เดินลงมาจากอาคารถือดอกไม้มาให้เราที่บนเวที อันนี้ก็เป็นความ Puppy Love ครั้งแรกที่ยังรู้สึกว่ากรี๊ด เพื่อนๆ ก็กรี้ดกันหมด มันใสๆ น่ารักๆ ค่ะ”

“มีครั้งหนึ่งอิ้งค์เคยไปสัมภาษณ์ในรายการของ ก้อย อรัชพร ว่าไม่ชอบผู้ชายตี๋ขาว ชอบคมเข้ม แล้วก็กลายเป็นไวรัลเลย ผู้ชายในโซเชียลแชร์กันว่าผมไม่ตี๋ขาวนะครับ และมี DM มาหาอิ้งค์ว่าแบบนี้จะคมเข้มพอไหมเยอะมาก จนอิ้งค์ตกใจ ในรายการนี้อิ้งค์ขอพูดให้มันกลางๆ นะคะ (หัวเราะ) จะได้ไม่มี DM มา ตอนนี้เป็นคนที่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจ เป็นคนที่เราพูดคุยแล้วเขารู้ทันว่าเรากำลังรู้สึกอะไรอยู่ เครียดเรื่องนี้ใช่ไหม แล้วเขารู้วิธีการรับมือกับสิ่งที่เราเป็นได้ค่ะ ช่วยกันให้ผ่านเรื่องต่างๆ ไปได้ ส่วนลุคก็ไม่ได้มีอะไรที่ฟิกซ์ขนาดนั้น คือ อิ้งค์ บอกว่าไม่ชอบตี๋ขาวในรายการก้อย แต่คนที่อิ้งค์ชอบดาราเกาหลีอย่าง กงยู เพื่อนก็บอกว่า กงยู นี่ก็ตี๋ขาวนะ แล้วอิ้งค์ก็บอกว่า กงยู ไม่ตี๋ขาว ซึ่งคำว่า ตี๋ขาวของเราอาจจะไม่เท่ากัน”

“ส่วนมุมมองของคำว่าต้องมีทุกอย่างก่อนอายุ 30 ปี เคยคิดมากกับประโยคนี้เหมือนกันค่ะ แต่ว่าที่บ้านไม่เคยพูดเรื่องนี้ด้วย ส่วนใหญ่จะมาจากเพื่อนมากกว่า จะ 30 แล้วยังไม่มีแฟนเลย จะ 30 แล้วยังไม่มีรถเลย คุยกันในวงเพื่อน ก็เลยคิดว่าไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม 27 หรือว่า 31 แล้ว แต่ว่าถ้าเราพอใจในสิ่งที่มี ที่ทำได้แค่นี้เราแฮปปี้ แล้วรู้ตัวว่าจะไปในทิศทางไหนต่อ หรือว่ารู้ตัวว่าชีวิตนี้มีเป้าอะไร ถึงแม้มันอาจจะไม่สำเร็จในวัย 30 แต่ว่าเรากำลังมาถูกทางนะ คิดว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุแล้ว เพราะตอนแรกอิ้งค์ก็คิดว่าผู้หญิงอายุ 30 จะต้องโตมาก ตอนนี้ก็ไม่เห็นเป็นผู้ใหญ่เลย ไม่เห็นรู้สึกว่าตัวเองโตเลย ไม่รู้สึกว่าเราเก่งขึ้น แต่แค่รู้สึกว่าประสบการณ์ชีวิตเราเยอะขึ้น เราพอใจกับครอบครัวที่น่ารัก มีพี่น้อง คนรอบตัวที่น่ารัก มีเพื่อน มีทีมงานที่น่ารัก มีงานที่เราแฮปปี้ อาจจะแฮปปี้บ้าง ไม่แฮปปี้บ้าง แต่สุดท้ายมันก็คืองาน บางเรื่องเราคอนโทรลไม่ได้ ก็ต้องยอมรับและพัฒนาต่อไป แล้วก็รู้ว่าเรากำลังเดินไปจุดไหน อันนี้เป็นสิ่งที่ควรโฟกัสมากกว่าเรื่องอายุ”