จากกรณี เครือเจริญโภคภัณฑ์ (เครือซีพี) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ของ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่มทรู และ กลุ่มเทเลนอร์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอม มูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค ได้ประกาศความร่วมมือ ในการควบรวม ทรูและ ดีแทค เพื่อจัดตั้งบริษัทใหม่ด้านเทคโนโลยี โดยสองบริษัทจะถือหุ้นเท่ากัน คาดว่าจะสามารถลงนาม ในสัญญาที่มีผลตามกฎหมาย ได้หลังไตรมาสแรกของปี 65 แต่ยังมีประเด็นที่หลายฝ่าย ตั้งคำถามว่าการควบรวมของทั้งสองบริษัท จะทำให้มีอำนาจเหนือตลาด ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคหรือไม่

ความคืบหน้าเรื่องนี้ เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 23 พ.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทาง กสทช.ได้เชิญผู้บริหารของ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น เข้าชี้แจงเรื่องการควบรวมครั้งนี้ นำโดย นายนพปฎล เดชอุดม รองประธานคณะกรรมการบริการ และนายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหาร ด้านรัฐกิจสัมพันธ์ เป็นผู้เข้าชี้แจงต่อ กสทช.

โดยหลังจากชี้แจงเสร็จสิ้น นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา คณะกรรมการ กสทช. กล่าวว่า ทางผู้บริหารทรู ยังยืนยันว่าการประกาศควบรวมครั้งนี้ยังเป็นแค่เจตนารมณ์ที่จะเจรจาหาข้อยุติร่วมกัน ยังไม่มีข้อยุติ เหมือนที่ทางดีแทคแจ้งเมื่อวาน เป็นความพยายามควบรวมของทั้งสองบริษัท แต่จะรวมกิจการไหนบ้าง และจะรวมบริษัทลูกหรือไม่ต้องรอเจรจา ซึ่ง กรรมการ กสทช. ยังต้องรอดูเพราะยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน ว่าเรื่องนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาของ กสทช.หรือไม่

สำหรับข้อเรียกร้องของสภาองค์กรผู้บริโภคให้ กสทช.ดำเนินการในเรื่องนี้นั้น ต้องบอกตามตรงว่า ยังไม่สามารถทำได้เพราะยังไม่มีรายละเอียดในเรื่องนี้ว่าจะควบรวมทั้งหมดหรือไม่ แต่ถ้าทั้งสองบริษัททำรายละเอียดสำเร็จแล้ว ทาง กรรมการ กสทช. จะพิจารณาได้อย่างแน่นอน เป็นว่าไปตามกฎหมายหรือไม่

นายประวิทย์ กล่าวต่อว่า ในระหว่างนี้ได้ขอให้ทั้งสองบริษัทแจ้งความคืบหน้าให้ทาง กรรมการ กสทช.ทราบในทุกเดือน เพื่อหากเกิดปัญหาได้เตรียมการได้ทัน รวมถึงต้องทำตามกฎหมายที่ต้องขออนุญาตและรายงานให้ กสทช. ทราบใน 90 วัน ก่อนที่จะมีการควบรวมกันจริงๆ ส่วนจะมีการนำเรื่องนี้เข้าให้บอร์ด กสทช.พิจารณา หรือไม่ สำนักงานฯ สามารถรายงานให้บอร์ดทราบก่อนได้ แต่หากต้องพิจารณาเรื่องนี้จริงๆ คงต้องรอปีหน้าเมื่อข้อเท็จจริงต่างๆ ในการควบรวมครบถ้วน ว่าจะผิดหรือไม่ผิดตามประกาศ กสทช.