จากรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ แม้จำนวนหัวรบนิวเคลียร์ของจีนยังนับว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับที่สหรัฐมีอยู่ในปัจจุบัน แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด จากการประเมินของสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเพนตากอนกล่าวเตือนว่า จำนวนหัวรบนิวเคลียร์ใมคลังแสงของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (พีแอลเอ) อาจจะถึง 400 ลูก ภายในคริสต์ทศวรรษนี้

ในรายงานประจำปีที่ส่งถึงสภาคองเกรส ช่วงต้นเดือนนี้ ในส่วนที่ว่าด้วย “การพัฒนาด้านความมั่นคงและกลาโหมของสาธารณรัฐประชาชนจีน” เพนตากอนกล่าวย้ำความวิตก เกี่ยวกับแรงกดดันเพิ่มมากขึ้นต่อไต้หวัน เกาะปกครองตนเองที่จีนมองว่า เป็นดินแดนส่วนหนึ่งของตนที่แยกตัวออกไป

South China Morning Post

เพนตากอนยังแสดงความวิตกต่อโครงการอาวุธเคมีและอาวุธชีวภาพ รวมทั้งความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีของจีน

รายงานกล่าวย้ำเป็นพิเศษ ในส่วนของอาวุธนิวเคลียร์ที่กำลังเติบโต ของพญามังกรจีน

ในระยะ 10 ปีข้างหน้าพีอาร์ซี (สาธารณรัฐประชาชนจีน) มีเป้าหมายพัฒนาให้ทันสมัย สร้างความหลากหลาย และขยายกองกำลังนิวเคลียร์ของประเทศ

ตอนนี้ จีนได้เริ่มก่อสร้างคลังใต้ดินเก็บขีปนาวุธข้ามทวีปอย่างน้อย 3 แห่ง

แดริล จี. คิมบอล ผู้อำนวยการบริหารสมาคมควบคุมอาวุธ แห่งสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า แนวโน้มที่จีนจะมีหัวรบนิวเคลียร์ สูงในระดับที่สหรัฐประเมิน ถือเป็นการตอกย้ำความจำเป็นเร่งด่วน ที่จะต้องมีการเจรจาทวิภาคีหรือพหุภาคี เพื่อลดความเสี่ยงจากอาวุธนิวเคลียร์

จีนบอกว่า หัวรบนิวเคลียร์ในครอบครองมีน้อยมาก หากเทียบกับของสหรัฐและรัสเซีย และจีนพร้อมที่จะเจรจา โดยมีข้อแม้ว่า สหรัฐจะต้องลดจำนวนหัวรบที่มีอยู่ทั้งหมด ให้เหลือเท่าระดับของจีนเท่านั้น จึงจะคุยด้วย

ข้อมูลจากสถาบันการวิจัยเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศแห่งสวีเดน ล่าสุดถึงวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา สหรัฐมีหัวรบนิวเคลียร์ในคลังแสงทั้งหมด 3,750 ลูก โดย 1,389 ลูก ในจำนวนดังกล่าวถูกติดตั้งประจำการ พร้อมใช้งาน ส่วนรัสเซียมีมากกว่าคือ 6,255 ลูก และจีนมี 350 ลูก

เดือน ต.ค.ที่ผ่านมา สหรัฐกับรัสเซียตกลงต่ออายุสนธิสัญญาลดอาวุธทางยุทธศาสตร์ หรือ สตาร์ท (START) ฉบับที่ใช้บังคับอยู่ออกไปอีก 5 ปี เพื่อจำกัดจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ไม่ให้เกินประเทศละ 1,550 ลูก และจำกัดจำนวนขีปนาวุธยิงจากเรือดำน้ำ (SLBM) ขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) และขีปนาวุธภาคพื้นดิน ที่สามารถติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ได้ไม่เกิน 800 ลูก สหรัฐเรียกร้องซ้ำหลายครั้งให้จีนเข้าร่วมความตกลงในสนธิสัญญา แต่จีนปฏิเสธ

นายหวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวถึงรายงานของเพนตากอนที่ส่งถึงสภาคองเกรสว่า “เต็มไปด้วยอคติ”

จีนประกาศจะใช้กำลังทหารบุกยึดไต้หวัน ที่ถือว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (sacred territory) ส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ หากจำเป็น และถึงเวลาที่เหมาะสม

รายงานของเพนตากอน กล่าวถึงความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีทางทหารของพีแอลเอ ถึงขั้นสามารถบุกยึดครองไต้หวันได้หลากหลายรูปแบบ ในเวลาอันรวดเร็ว

South China Morning Post

แต่ พล.อ.มาร์ค มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐ กล่าวต่อที่ประชุมด้านความมั่นคงในกรุงวอชิงตัน เมื่อสัปดาห์ก่อน ว่า จากการวิเคราะห์แบบครอบคลุม เขาเชื่อว่าจีนจะยังไม่บุกยึดไต้หวันในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า แม้ว่าจะมีศักยภาพเพียงพอ ที่จะทำได้แล้วก็ตาม

รายงานฯ ยังได้เน้นย้ำความวิตก เกี่ยวกับโครงการพัฒนาอาวุธเคมีและอาวุธชีวภาพของจีน ความวิตกของสหรัฐยิ่งมีมากขึ้นหลังเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 จากที่พบแห่งแรกในเมืองอู่ฮั่น ทางภาคกลางของจีน เมื่อช่วงปลายปี 2562 ก่อนจะแพร่กระจายไปทั่วโลกจนถึงขณะนี้

หลายหน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐสงสัยว่า เชื้อไวรัสโควิด-19 อาจจะรั่วไหลออกจากห้องวิจัยทดลอง ของสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น และพยายามสืบหาพยานหลักฐาน เพื่อกล่าวโทษจีน แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้

สหรัฐสงสัยว่าสถาบันไวรัสวิทยาอาจจะเป็นหนึ่งในหน่วยงานของจีน ที่กำลังซุ่มพัฒนาอาวุธชีวภาพ สามารถทำลายล้างสร้างความเสียหายแก่ศัตรูได้มหาศาล และมีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาน้อยกว่าอาวุธทำลายล้างสูงอื่น ๆ หลายร้อยเท่า.

เลนซ์ซูม

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES