สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมื่อวันที่ 15 พ.ย. ว่า นายกรัฐมนตรีอเล็กซานเดอร์ ชาลเลนแบร์ก แถลงเมื่อวันอาทิตย์ ว่านับตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย.เป็นต้นไป ผู้มีอายุตั้งแต่ 12 ปี ในออสเตรีย ซึ่งยังไม่ได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 และฉีดแล้วแต่ยังไม่ครบ จะสามารถออกจากบ้านเพื่อดำเนินชีวิตในสถานที่สาธารณะ “ได้ด้วยเหตุผลเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น” โดยเจ้าหน้าที่จะสุ่มตรวจหลักฐานการฉีดวัคซีนของประชาชนแต่ละคน ที่สัญจรอยู่ตามสถานที่สาธารณะ หากพบการฝ่าฝืนถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย และอาจต้องชำระค่าปรับมากถึง 1,450 ยูโร ( ราว 54,368.41 บาท )

DW News


ปัจจุบัน ออสเตรียซึ่งมีประชากรประมาณ 8.9 ล้านคน ฉีดวัคซีนครบครอบคลุมประชากรแล้ว 65% แม้มากกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของสหภาพยุโรป ( อียู ) แต่ถือว่าต่ำมาก เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศในแถบยุโรปตะวันตกด้วยกัน ขณะที่แผนยุทธศาสตร์ตอบสนองต่อโควิด-19 ของออสเตรีย ที่ประกาศเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ระบุว่า เมื่อใดก็ตามที่สัดส่วนการครองเตียงของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในห้องไอซียูทั่วประเทศ คิดเป็นมากกว่า 30% เมื่อนั้น รัฐบาลจะบังคับใช้มาตรการ “ล็อกดาวน์กับผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีน”


ทั้งนี้ มาตรการล็อกดาวน์คนที่ไม่ฉีดวัคซีน และยังฉีดวัคซีนไม่ครบของทางการออสเตรีย เป็นการยกระดับจากมาตรการ เมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลบังคับใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นกับผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 คือการห้ามเข้าใช้บริการร้านอาหาร คาเฟ่ โรงแรม สกีรีสอร์ท และ “สถานที่ให้บริการแบบปิด” อาทิ ร้านทำผม.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES