เยนส์ กัลชูต ประติมากรชาวเดนมาร์กคือผู้ให้สิทธิยืมงานประติมากรรมที่สร้างจากทองแดงสองสี สูง 8 เมตร ซึ่งมีชื่อว่า “เสาแห่งความอัปยศ” (Pillar Of Shame) แก่กลุ่มพันธมิตรฮ่องกงสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในจีนแบบตลอดชีพ
งานประติมากรรมที่สร้างเป็นรูปร่างมนุษย์หลายสิบร่างที่กำลังบิดเบี้ยวด้วยความทุกข์ทรมานนี้ เคยตั้งแสดงไว้ที่มหาวิทยาลัยฮ่องกง เป็นเวลานานกว่า 2 ทศวรรษ หลังจากมีการสลายกลุ่มพันธมิตรฮ่องกงฯ ไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา และมีสมาชิกกลุ่มบางรายโดนกล่าวหาว่า บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ มหาวิทยาลัยก็ขอให้ทางกลุ่มเคลื่อนย้ายประติมากรรมชิ้นนี้ออกไป
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กัลชูตส่งจดหมายเปิดผนึกถึงทางการฮ่องกง โดยระบุว่า เขายินดีที่จะนำผลงานชิ้นนี้กลับไปยังเดนมาร์ก แต่ต้องให้การรับรองว่าการไปฮ่องกงของเขา เพื่อรื้อถอนและขนย้ายผลงานอันเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน จะไม่มีปัญหาใด ๆ
กัลชูตซึ่งประเมินราคาผลงานของตนไว้ที่ 1.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 45.9 ล้านบาท) กล่าวว่าเขาต้องได้รับความร่วมมือจากทางมหาวิทยาลัยและเจ้าหน้าที่ทางการ เพื่อให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิค การปิดถนนและใบอนุญาตอื่น ๆ ที่จำเป็น
นอกจากนี้ กัลชูตยังร้องขอความมั่นใจว่าจะไม่มีการจับกุมเขาภายใต้การบังคับใช้กฎหมายเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งทางการจีนเป็นผู้ออกกฎหมายนี้เมื่อปี 2563 มีจุดประสงค์เพื่อลงโทษผู้ที่ทางการมองว่าเป็นผู้ก่อการร้ายหรือสมรู้ร่วมคิดกับกองกำลังต่างชาติ
กัลชูตเขียนว่า “ตามที่ผมเข้าใจโดยดูจากข่าวเรื่องการนำกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่มาใช้ในฮ่องกง นั่นหมายความว่าสามารถอาศัยกฎหมายนี้ทำการจับกุมชาวต่างชาติที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่วิพากษ์วิจารณ์จีนได้”
การเคลื่อนย้ายประติมากรรมนี้ “จะทำให้เกิดกิจกรรมและดึงความสนใจจากสื่อมวลชน ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นการวิพาษ์วิจารณ์รัฐบาลจีน ดังนั้นผมต้องการการรับประกันว่าผมและลูกน้องของผมจะไม่โดนตำรวจจับ”
ทางมหาวิทยาลัย สำนักงานความมั่นคงของรัฐบาลและกรมตรวจคนเข้าเมือง ยังไม่แสดงความเห็นใด ๆ ต่อเรื่องนี้
มหาวิทยาลัยกำหนดเส้นตายให้กลุ่มพันธมิตรย้ายรูปปั้นออกไป ซึ่งเลยกำหนดไปเมื่อเดือนที่แล้ว โดยขณะนั้นกล่าวอ้างว่า กำลังขอคำปรึกษาทางกฎหมายว่าจะจัดการประติมากรรมนี้อย่างไรดี
นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยและรัฐบาลตะวันตกในบางประเทศกล่าวว่า กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติของจีน เป็นเครื่องมือในการปิดปากผู้ไม่เห็นด้วยและผลักดันฮ่องกงไปสู่เส้นทางแห่งการเผด็จการ แต่เจ้าหน้าที่ของจีนและทางการฮ่องกงยืนยันว่า ยังคงปกครองฮ่องกงภายใต้หลักนิติธรรม ประชาชนยังคงมีสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคลตามกฎหมาย
เครดิตภาพ : Reuters