ตอนนี้เมตาเวิร์สกลายเป็นเป้าหมายยอดนิยม หลังจากที่ซีอีโอของเฟซบุ๊ก มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ประกาศว่าอนาคตของบริษัทของเขาก็คือการอุทิศความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างโลกเสมือนจริงที่ให้สัมผัสได้แบบ 3 มิติ และผู้ใช้งานสามารถสัมผัสสิ่งต่าง ๆ ผ่านทางอวาตาร์ของตน

บริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ เช่น โรบล็อกซ์ คอร์ป และเอพิคเกมส์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเกมชื่อดัง รวมถึงบริษัทซอฟต์แวร์ชั้นแนวหน้าอย่างไมโครซอฟต์ ต่างมุ่งหน้าที่จะสร้างระบบ ‘เมตาเวิร์ส’ ของตัวเอง แต่แผนการของดิสนีย์กลับไม่ได้เน้นเฉพาะเจาะจงไปกับแง่มุมไหน

ชาเพ็คกล่าวกับนักลงทุนว่าการเข้าสู่ยุคดิจิทัลแบบใหม่นี้สอดคล้องกับประวัติศาสตร์อันยาวนานของดิสนีย์ด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งมองย้อนกลับไปได้ถึงยุคของหนังการ์ตูนเรื่องยาวเรื่องแรกของบริษัทอย่าง Steamboat Willie

“ความพยายามของเราจนถึงปัจจุบันนี้เป็นเพียงบทโหมโรง ก่อนจะถึงเวลาที่เราสามารถเชื่อมโยงโลกทางกายภาพเข้ากับโลกดิจิทัลได้อย่างใกล้ชิดมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เราสามารถเล่าเรื่องโดยปราศจากขอบเขตในระบบเมตาเวิร์สแบบดิสนีย์ของเรา” ชาเพ็คกล่าว

ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสถานีซีเอ็นบีซี ชาเพ็ค กล่าวว่า เขามองเห็นภาพการขยายบริการวิดีโอสตรีมมิ่งทางแอพดิสนีย์พลัสผ่านทาง “ผืนผ้าใบสามมิติ” นั่นคือการเล่าเรื่องแบบใหม่ของเขา

ทิลัก แมนดาดี อดีตรองประธานบริหารฝ่ายดิจิทัลของ Disney เขียนบน LinkedIn ในปี 2563 เกี่ยวกับการสร้างสวนสนุกแบบเมตาเวิร์ส โดยเป็นที่ที่ “โลกทางกายภาพและดิจิทัลมาบรรจบกัน” ผ่านการสวมใส่อุปกรณ์ เช่น สมาร์ทโฟน และระบบเชื่อมต่อทางดิจิทัล

แต่ใช่ว่าการเดินทางสู่โลกดิจิทัลใหม่ของดิสนีย์จะจบลงอย่างมีความสุขทั้งหมด บริษัทเคยมีเครือข่ายออนไลน์ชื่อ ‘คลับเพนกวิน’ ซึ่งเป็นระบบโซเชียลเน็ตเวิร์กสำหรับเด็กที่ต้องปิดตัวลงในปี 2560 หลังจากดำเนินกิจการได้ 11 ปี ส่วนการเข้าสู่ตลาดโซเชียลมีเดียด้วยการซื้อ ‘เพลย์ดอม’ เครือข่ายเกมออนไลน์ มูลค่า 563.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2553 แต่สุดท้ายมูลค่าก็ลดลง ต่อมา ความพยายามในการใช้ประโยชน์จากความนิยมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของยูทูบผ่านการซื้อกิจการของเมคเกอร์สตูดิโอส์มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2557 ก็จบลงด้วยการโดนกลืนหายไปอยู่ในส่วนอื่นๆ ของบริษัท

เครดิตภาพ : Reuters