“ขับรถฝ่าพื้นน้ำแข็ง-ผ่านหลุมยุบ-ไปสู่สงครามอวกาศ”

                นี่คือคำจำกัดความของ “ดูอะไรดี” สัปดาห์นี้ หลังจากที่มีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด ทำให้โรงหนังกลับมาเปิดอีกครั้ง ตอนนี้หนังเข้ารัว ๆ เราจึงขอถือโอกาสนี้จัดเต็มรีวิวหนัง 3 เรื่องให้ทุกคนได้รับทราบข้อมูล เพื่อนำไปตัดสินใจว่าจะดูเรื่องไหนดี หรือดูทั้ง 3 เรื่องเลย

                เริ่มต้นที่ Dune หนังที่นำเสนอเรื่องราวสงคราม การเมือง อวกาศ ซึ่งเป็นต้นแบบของ “สตาร์ วอร์ส” สร้างจากนวนิยายวิทยาศาสตร์ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1965 ของนักเขียน แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต เป็นเรื่องราวของตระกูล อาทีย์เดส” ผู้สูงศักดิ์ หลังจากเข้ามาปกครองดาว อาราคิส” ซึ่งเป็นแหล่งผลิตเครื่องเทศหายากอันล้ำค่า ทำให้ตระกูลคู่อริ ฮาคอนเนน” โกรธแค้นที่ต้องทิ้งดาวที่สร้างความมั่งคั่งทางการเงินไป เพียงเพราะพวกเขาต้องทำตามคำสั่งของจักรพรรดิ ทางเดียวที่จะได้ดาวดวงนี้คืนก็คือ ต้องฆ่าล้างตระกูล “อาทีย์เดส” ให้หมดไป เกมการเมืองและสงครามระหว่าง 2 ตระกูลจึงเริ่มต้นขึ้น เมื่อ ดุ๊ก เลโต” (รับบทโดย โอสการ์ อิซาอัก) ขุนนางและผู้นำตระกูล “อาทีย์เดส” ถูกทรยศหักหลัง ขณะที่กองกำลังของเขาโดนทำลายล้างจนไม่มีเหลือ พอล อาทีย์เดส” (รับบทโดย ทิโมธี ชาลาเมต์) ทายาทเพียงคนเดียวต้องเผ่นหนีตายจากการไล่ล่า ทางเดียวที่เขาจะสามารถสู้กับเหล่าคู่อริได้ คือไปขอความช่วยเหลือจากกลุ่มชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทรายที่เรียกตัวเองว่า เฟรเมน” ท่ามกลางเสียงเล่าลือว่า พอล อาทีย์เดส” คือผู้กอบกู้จักรวาลในรอบ 1,000 ปี

                ความน่าดูของ Dune คือการค้นหาคำตอบของแฟน ๆ หลัง Dune ที่เคยถูกสร้างเป็นหนังครั้งแรกถูกสับยับ และแฟนหนังก็อยากรู้ว่าครั้งนี้จะรอดไหม ด้วยคะแนนรีวิวที่สูงลิบจากเหล่านักวิจารณ์ ทำให้ความน่าดูของหนังเรื่องนี้ทวีคูณสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ นอกจากนั้น ดารานำอย่าง ทิโมธี ชาลาเมต์, เจสัน โมโมอา, เซ็นเดยา ก็ทำให้หน้าหนังน่าดูยิ่งขึ้นไปอีก

                ด้วยงานคุณภาพระดับบล็อกบัสเตอร์จากฝีมือผู้กำกับ เดอนี วีลเนิฟว์ ที่เน้นการถ่ายทำจริงท่ามกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ มากกว่าจะใช้ CG เพื่อให้นักแสดงเข้าถึงบทบาท แม้ช่วงแรก ๆ จะเนือย ๆ เพราะเป็นการเล่าเรื่องเพื่อให้ผู้ชมอินกับหนัง แต่ถ้าอดทนผ่านไปได้ จากนั้นคือความบันเทิงคับแก้ว นี่จึงเป็นปฐมบทหนังสงครามอวกาศที่ห้ามพลาด เพื่อสานต่อไปสู่ภาค 2 และ 3 ต่อไป 

                ไปต่อกันที่หนังเกาหลี Sinkhole : ฝ่าวิกฤตหลุมระทึก” ที่ขนนักแสดงที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาอย่าง ชาซึงว็อน, คิมซ็องคยุน, นัมดารึม และ อีกวางซู มาดึงดูดคนดู ความน่าสนใจของหนังแดนกิมจิเรื่องนี้ คือส่วนผสมที่แปลกประหลาด แต่รสชาติกลมกล่อม ไม่บ่อยครั้งนักที่เราจะได้เห็น “หนังตลกภัยพิบัติ” เพราะส่วนใหญ่หนังภัยพิบัติทั้งหลายจะออกแนวซีเรียส จริงจัง เล่นกับดราม่า แต่เรื่องนี้เน้นฮาเป็นส่วนใหญ่ บทจะซึ้งก็ทำได้กินใจ เป็นหนังที่ดูได้เพลิน ๆ ช่วยมอบมุมมองดี ๆ ให้กับเรา อย่างผู้เขียนรู้สึกว่า หากเรามองเรื่องร้าย ๆ ด้วยมุมมองแง่บวก พยายามหาเรื่องดี ๆ ที่สร้างเสียงหัวเราะให้เราได้ ไม่ว่าอะไรจะร้ายแค่ไหน เราก็น่าจะผ่านมันไปได้ด้วยสภาพที่ไม่บอบช้ำจนเกินไป

                ปิดท้ายกันด้วย “The Ice Road : เหยียบระห่ำ ฝ่านรกเยือกแข็ง” หนังแอ๊คชั่นคนขับรถบรรทุก 18 ล้อของพระเอกนักบู๊รุ่นใหญ่ “เลียม นีสัน” นี่คือหนังความสัมพันธ์พี่น้องรุ่นใหญ่ที่น่าสนใจ และมีความน่ารักแบบที่เราไม่ค่อยได้เห็นกัน เพราะส่วนใหญ่หนังที่เล่าถึงความสัมพันธ์พี่น้อง มักไม่ค่อยใช้รุ่นใหญ่ขนาดนี้ในการเล่าเรื่อง ในส่วนของการขับรถบรรทุกตะลุยฝ่าน้ำแข็ง ถือเป็นเส้นเรื่องที่น่าสนใจและน้อยคนจะมีความรู้เรื่องนี้ แต่ฉากที่มีการกู้รถบรรทุก ซ่อมรถ บางฉากก็น่าทึ่ง แต่บางฉากก็ยืดเยื้อ ทำให้หนังน่าเบื่อ จนจะกลายเป็นหนังสารคดีซ่อมรถอยู่แล้ว ด้านอีกหนึ่งเส้นเรื่องที่ต้องขนอุปกรณ์ไปช่วยชีวิตคนงานที่ติดเหมืองถล่ม ดูขาด ๆ เกิน ๆ ทำให้คนดูไม่ค่อยอินตรงจุดนี้ สิ่งที่พอจะทำให้ชุ่มชื่นในหนังเรื่องนี้คงเป็นน้อง “แอมเบอร์ มิดธันเดอร์” ที่เปรียบเสมือนผลเชอร์รี่ที่ประดับอยู่บนหน้าเค้ก ทำให้เค้กดูมีสีสันสดใส น่ารับประทาน และผลชาติดีขึ้นกว่าเดิม.

วุฒิ พิศาลจำเริญ-ภาณุพงศ์ ส่องสว่าง