เรียนคุณหมอ ดร.โอ สุขุมวิท 51 ที่เคารพค่ะ

ดิฉันอายุ  28 ปี สามีอายุ 42 ปี ตอนนี้อยากมีลูกมาก ฐานะทางการเงินดีไร้ปัญหา ทุกอย่างพร้อมหมด แต่สามีไม่ค่อยชอบทำการบ้าน จนบางครั้งแอบคิดว่าสามีเป็นเกย์หรือไม่ จึงตัดสินใจรวบรวมความกล้าทั้งหมดถามสามีตรง ๆ คำตอบที่ได้มาคือ สามีบอกว่าตอนนี้ไม่ค่อยมีความต้องการทางเพศเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เนื่องจากเครียดเรื่องงานมาก ตอนนี้ทำให้ไม่ได้ทำการบ้านมาเกือบ 3 เดือนแล้ว ตลอดเวลาแม้ดิฉันพยายามแก้ไขยั่วยวนแต่ไม่ได้ผล ตอนเช้า ๆ ตื่นนอนเคยสังเกตว่าอวัยวะเพศของสามี ก็ไม่ตื่นมาทักทายเหมือนก่อน อีกทั้งช่วงหลัง ๆ เวลาทานข้าวเย็นเสร็จไม่ทันไร สามีมักจะบ่นง่วงนอน จึงอยากปรึกษาคุณหมอโอ ว่าสาเหตุของสามีเกิดจากเรื่องอะไรแน่ และมีแนวทางแก้ไขหรือไม่

ด้วยความเคารพค่ะ

น้องพราว 28

ตอบ น้องพราว 28

ปัญหาของสามีภรรยาคู่นี้คือสามีไม่ร่วมเพศกับภรรยามาเป็นเวลาเกือบ 3 เดือนแล้วจากสาเหตุที่ความต้อง การทางเพศของฝ่ายสามีลดลง ซึ่งทำให้ภรรยาที่อยากจะมีลูกนั้นไม่สมหวังสักที อาการที่สามีไม่ชอบทำการบ้านจากการให้เหตุผลว่าความต้องการทางเพศลดลงและอาการที่อวัยวะเพศไม่ยอมแข็งตัวในตอนเช้า (morning erection) นั้นตัวที่มีบทบาทสำคัญมากคือฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน

ผู้ชายที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปจะพบว่าระดับฮอร์โมนเพศจะเริ่มลดลง เมื่อผู้ชายเกิดภาวะพร่องฮอร์โมนนั้นอาการที่เกิดขึ้นจะค่อยเป็นค่อยไปไม่แสดงออกอย่างชัดเจน การที่ฮอร์โมนเพศต่ำลงนั้นส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ชายอย่างมากทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม ความคิด ความสัมพันธ์ และความเป็นอยู่

ผู้ชายที่มีระดับฮอร์โมนต่ำจะกระสับกระส่าย หงุดหงิดง่าย ไม่กระฉับกระเฉง เฉื่อยชา มองโลกในแง่ร้าย กล้ามเนื้อลีบลง สะสมไขมันมากขึ้น นอนไม่หลับ สมองไม่เฉียบคม อารมณ์แปรปรวน ความต้องการทางเพศลดลง อวัยวะเพศแข็งตัวได้ไม่เต็มที่ขาดความมั่นใจ บางรายถึงกับมีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย

การรักษาอาการของผู้ชายที่พร่องฮอร์โมนเพศขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะบุคคล ในทางการแพทย์มีวิธีรักษาอยู่หลายวิธีด้วยกัน การใช้ยาฮอร์โมนเพศชายเสริมก็เป็นอีกวิธีรักษา ปัจจุบันที่นิยมมากขณะนี้เป็นฮอร์โมนแบบชนิดเจลทาที่ผิวหนังอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 30 วัน จะเริ่มพบว่าอาการการแข็งตัวและอารมณ์ทางเพศดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และที่สำคัญการเสริมฮอร์โมนด้วยวิธีแบบเจลทาจะช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ โรคเส้นเลือดสมองตีบหรือแตก ลิ่มเลือดอุดตันได้ดีอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยไม่ควรไปซื้อยามาใช้เอง ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้งเพราะอาจมีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ถ้ามีโรคประจำตัวบางอย่างหรือที่ห้ามใช้.

—————————
ดร.โอ สุขุมวิท 51