เมื่อวันที่ 5 พ.ย. กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) พร้อมรถเครื่องขยายเสียงเดินทางมาชุมนุมที่เชิงสะพานชมัยมรุเชฐ หน้าทำเนียบรัฐบาล ฝั่งถนนพิษณุโลก เพื่อคัดค้านกรณีที่รัฐบาลยังยืนยันไม่ยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ซึ่งจัดทำขึ้นเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2544 โดยเกรงว่ารัฐบาลอาจนำไปใช้เพื่อเจรจาหาผลประโยชน์เรื่องพลังงาน ก่อนทำเรื่องเขตแดนให้ชัด อีกทั้งคัดค้านการแต่งตั้งนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (เจทีซี) ฝ่ายไทย ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด รวมทั้งนำแผงเหล็กมาปิดกั้นการจราจรถนนพิษณุโลก ตั้งแต่สะพานชมัยมรุเชฐ ไปถึงแยกมิสกวัน
ทั้งนี้ นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำ คปท. กล่าวถึงแนวทางการชุมนุมของกลุ่มฯ ว่า ยังเดินหน้าตรวจสอบนโยบายรัฐบาล รวมทั้งประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเอ็มโอยู ปี 2544 และผลประโยชน์ทางทะเล เพราะเรากังวลต่อท่าทีของรัฐบาลที่อาจนำแหล่งพลังงานขึ้นมาใช้ก่อนที่จะมีการเจรจาเรื่องเขตแดน ทั้งที่จริงควรจะมีการเจรจาเรื่องเขตแดนให้ชัดเจนก่อน จึงจะพูดคุยถึงเรื่องผลประโยชน์ด้านพลังงาน แต่รัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ประกาศนโยบายเร่งด่วนว่าจะเร่งดำเนินการเจรจาเรื่องผลประโยชน์พลังงาน
นายพิชิต กล่าวอีกว่า หลังจากกระทรวงการต่างประเทศแถลงข่าวถึงความคืบหน้าเรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการเจทีซีไทย-กัมพูชา มีแนวโน้มว่านายภูมิธรรมจะเป็นประธานคณะกรรมการดังกล่าว เราจึงกังวลว่าท่าทีของนายภูมิธรรมที่จะพูดคุยเจรจาเรื่องผลประโยชน์ด้านพลังงานก่อน ดังนั้นถ้าการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้ผ่านความเห็นชอบจาก ครม. โดยมีนายภูมิธรรมเป็นประธาน คปท.จะกำหนดแนวทางการชุมนุมยืดเยื้อต่อไป รวมถึงจะจัดเวทีโดยเชิญอดีต สว. และนักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน มาเป็นพันธมิตรร่วมกันติดตามตรวจสอบเรื่องดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ คปท.ยังติดตามเรื่องของชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ และเรื่องบ่อนกาสิโน ซึ่ง รมช.คลังพยายามจะผลักดันเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี รวมทั้งประเด็นร้อนที่ คปท.ไปยื่นหนังสือที่ธนาคารแห่งประเทศไทย เพราะเกรงว่าการเมืองจะเข้ามาแทรกแซงการแต่งตั้ง บอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทย