วันที่ 2 พ.ย.67 พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความระบุว่า

UNHCR ชื่นชมก้าวสำคัญของประเทศไทย ยุติภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติ เติมเต็มความต้องการด้านการพัฒนาประเทศ หลัง ครม. มีมติอนุมัติหลักเกณฑ์เร่งรัดกระบวนการให้สถานะต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย นับเป็นการลดจำนวนบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติที่มากที่สุดเท่าที่เคยปรากฎในโลก

สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ (UNHCR) ซึ่งมีพันธกิจเพื่อแก้ไขและลดภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติ แสดงความชื่นชมกับก้าวสำคัญของประเทศไทย ในการยุติภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติ หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติหลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดกระบวนการให้สถานะต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย และสัญชาติกับประชากรไร้รัฐไร้สัญชาติจำนวนเกือบครึ่งล้านคน ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานานและทำประโยชน์ให้กับประเทศ

ภายใต้ร่างหลักเกณฑ์ที่ ครม.มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 จะส่งผลให้บุคคลที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน รวมถึงชนกลุ่มน้อย กลุ่มชาติพันธุ์จำนวนกว่า 335,000 คน ได้รับการกำหนดสถานะต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย (ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ถาวร) และกลุ่มบุตรที่เกิดในประเทศไทยจำนวนกว่า 142,000 คน มีสิทธิได้รับสัญชาติไทย โดยผู้ที่ได้รับสถานะต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ถาวร จะสามารถยื่นขอสัญชาติไทยได้ หลังจากถือสถานะดังกล่าวแล้วเป็นเวลา 5 ปี

[ลดจำนวนผู้ไร้รัฐไร้สัญชาติมากที่สุดเท่าที่เคยมีในโลก]

“สิ่งนี้นับว่าเป็นหน้าประวัติศาสตร์ที่สำคัญ การดำเนินการนี้จะเป็นการลดจำนวนบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติที่มากที่สุดเท่าที่เคยปรากฎบนโลกนี้” แทมมี่ ชาร์ป ผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติประจำประเทศไทย กล่าว

จำนวนคนไร้รัฐไร้สัญชาติ 484,000 คน ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายตามมติ ครม.นี้ เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มประชากรไร้รัฐไร้สัญชาติเกือบ 600,000 คน ที่จดทะเบียนโดยรัฐบาลไทย ซึ่งหมายความว่า พวกเขาไม่ได้รับการรับรองทางกฎหมายให้เป็นพลเมืองของประเทศใดๆ แต่พวกเขามีจุดเกาะเกี่ยวที่ชัดเจนและแน่นแฟ้นกับประเทศไทยมากกว่าที่อื่นๆ และบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติกลุ่มนี้ มีส่วนร่วมขับเคลื่อนทั้งในทางเศรษฐกิจ และทางวัฒนธรรมที่หลากหลายของประเทศไทยมาหลายทศวรรษ

หลักเกณฑ์ที่ได้รับการอนุมัติดังกล่าว จะสนับสนุนให้พวกเขามีศักยภาพทำประโยชน์ให้กับประเทศไทยได้อย่างเต็มที่มากยิ่งขึ้น พวกเขาจะไม่มีข้อจำกัดในการเดินทางเพื่อการศึกษาและมีโอกาสในการทำงาน เติมเต็มความต้องการด้านการพัฒนาประเทศของไทย หากปราศจากสัญชาติและสถานะดังกล่าวแล้ว บุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติในไทยต้องเผชิญความยากลำบากในการเดินทางข้ามจังหวัดเพื่อแสวงหาโอกาสในทำงาน

[ต้องมีความซื่อสัตย์ต่อไทย-ประพฤติดี-ไม่มีประวัติก่ออาชญากรรม จึงมีสิทธิยื่นคำร้อง]

ภายใต้ร่างหลักเกณฑ์ที่ ครม.มีมติเห็นชอบนี้ จะเร่งรัดกระบวนการยื่นขอสัญชาติและสถานะเข้าเมืองให้รวดเร็ว และปรับหลักเกณฑ์ต่างๆ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยผู้มีสิทธิยื่นคำร้องต้องมีความซื่อสัตย์ต่อประเทศไทย มีความประพฤติดี และไม่มีประวัติก่ออาชญากรรม รวมทั้งต้องไม่มีหลักฐานเอกสารสัญชาติของประเทศอื่น โดยกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่อยู่ในประเทศไทยมาแล้วเป็นเวลานานและได้รับการจัดทำทะเบียนประวัติโดยรัฐบาลไทยระหว่างปี 2527-2554 รวมถึงชาวมอแกน ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลไทยว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ของไทย หลังจากที่ต้องเผชิญความสูญเสียจากเหตุการณ์สึนามิในปี 2547

UNHCR สนับสนุนการทำงานของรัฐบาลไทยโดยจัดหน่วยบริการด้านทะเบียนราษฎรเคลื่อนที่ครบวงจรขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อแก้ไขปัญหาสถานะบุคคลและสัญชาติให้กับกลุ่มชาติพันธุ์มอแกน ณ เกาะพยาม จังหวัดระนอง ทางภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งเป็นการบูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงยุติธรรม

ประเทศไทยยังคงเป็นผู้นำทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาคในความพยายามที่จะยุติภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติ โดยเป็นหนึ่งในประเทศผู้ร่วมก่อตั้งพันธมิตรสากลเพื่อยุติภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติ ซึ่งเปิดตัวโครงการเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ ฟิลิปโป กรันดี ณ กรุงเจนีวา

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังให้คำมั่นที่จะแก้ไขภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติ โดยให้ความสำคัญเร่งด่วนกับเด็กที่เกิดในประเทศไทย ณ ที่ประชุมระดับโลกว่าด้วยเรื่องผู้ลี้ภัย และประเทศไทยยังมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในแคมเปญ “Get Every One in the Picture” ของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) เพื่อให้ปี ค.ศ.2015-2024 เป็นทศวรรษแห่งการทะเบียนราษฎรและสถิติชีพในภูมิภาคนี้