ต้องยอมรับว่า การเดินหน้าออกกฎหมาย “นิรโทษกรรม” ของพรรคเพื่อไทย เป็นการเดินเกมยาก ต้องเลือกระหว่างการยืนข้างมวลชน กับการประคองเสถียรภาพรัฐบาล ต่ออายุบัลลังก์นายกรัฐมนตรี ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หลังพรรคร่วมรัฐบาลไม่เห็นด้วยกับการพ่วงความผิดมาตรา 112 เข้าไปด้วย ซึ่งล่าสุด พรรคเพื่อไทยเลือกต่ออายุรัฐบาล ด้วยการมีมติ เสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยไม่มีการพ่วงความผิดมาตรา 110 และ 112 เข้าไปด้วย
“คอลัมน์ตรวจการบ้าน” จึงต้องมาสนทนากับ “นายสรวงศ์ เทียนทอง” รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ถึงการเดินหน้าแก้พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) นิรโทษกรรมอย่างไร ภายใต้การคุมเกมของ “พรรคร่วมรัฐบาล” จากสูตรพิสดาร จนกลายเป็นเกมร้อนภายในสภา
โดย “นายสรวงศ์” เปิดประเด็นว่า พรรคเพื่อไทย ชัดเจนอยู่แล้วว่า การเดินหน้าผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมนั้นจะไม่แตะการแก้ไขกฎหมายในมาตรา 110 และ 112 ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยเห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมนักโทษทางการเมือง ดังนั้นเราต้องแยกประเด็นให้ถูกว่า นักโทษที่ต้องคดีมาตรา 112 เป็นคดีทางการเมืองหรือไม่ โดยส่วนตัวและพรรคเพื่อไทยเห็นว่าคดี 112 ไม่ใช่คดีทางการเมือง ซึ่งจากการประชุมพรรคประจำสัปดาห์ในวันที่ 29 ต.ค. ก็มีความเห็นตรงกันว่าผู้กระทำผิดตามมาตรา 112 ไม่ใช่คดีทางการเมือง
“และจุดหนึ่งที่ทำให้ยังคงเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่แข็งแกร่งได้นั้นคือ พรรคร่วมก็ไม่เอาด้วยกับการแก้กฎหมายในมาตรา 112 และหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคต ก็จะไม่แตะในหมวด 1 และ 2 นี่คือข้อตกลงที่เราตกลงกันไว้ตั้งแต่ตอนร่วมรัฐบาลตั้งแต่แรก”
@ สิ่งที่พรรคเพื่อไทยยืนยันที่จะเดินหน้าแก้นิรโทษถูกมองว่าทำเพื่อนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ได้ทำเพื่อประชาชน
ตนมองว่ามันชัดเจนอยู่ในตัวอยู่แล้วว่า “นักโทษทางการเมือง” ที่หมายถึง ไม่รวมในคดีทุจริตคอร์รัปชั่น และคดีที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเมือง เป็นเพียงนักโทษที่ต้องคดีที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันทางการเมือง มันไม่ควรจะมีใครถูกใครผิด แต่ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าทุกอย่างทำให้มีการพูดถึงและตีกินทางการเมืองได้ว่า จะไปเอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือไม่ ตรงนี้มันไปไกลมากเกินไป และอย่างที่รู้กัน “พรรคเพื่อไทย” ถูกโจมตีเรื่องนี้มาโดยตลอด ตั้งแต่สมัยคำนิยามการนิรโทษกรรมสุดซอย และมีการออกมาชุมนุมของกลุ่มคนหลากสีเสื้อ แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะถือว่าผ่านมาแล้ว แต่ตอนนี้เรามีจุดยืนร่วมกันกับพรรคร่วมรัฐบาล ในการนิรโทษกรรมทางการเมือง ซึ่งยืนยันว่าไม่รวมถึงคนที่ทำผิดด้านทุจริต คอร์รัปชั่น
“ถ้าถามว่าลืมไหม ไม่ลืมแน่นอน เพราะทุกอย่างถือว่าเป็นบทเรียนของเรา หากถามว่าประเทศจะต้องเดินหน้าต่อไปไหม เราควรจะก้าวข้ามความขัดแย้งตรงนี้ไหม เราว่าควร แต่เราไม่ทิ้งจุดยืนเราแน่นอน”
@ เหมือนว่าการเดินหน้านิรโทษไปสอดคล้องกับ ผลโพลที่ออกมาว่ารัฐบาลชุดนี้จะอยู่ไม่ครบวาระ ตรงนี้มองอย่างไร กลัวเกิดอุบัติเหตุการเมืองหรือไม่
อันดับแรกเราก็จะนำผลโพลที่ออกมามาเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง แต่ทั้งนี้อยากให้โฟกัสที่เรื่องของการทำงานมากกว่า ซึ่ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เองก็ได้พูดถึงเรื่องนี้ กับทางพรรคเพื่อไทยเช่นเดียวกันว่า ผลโพลจะออกมาดีหรือไม่อย่างไร แต่ทุกคนก็มุ่งหน้าทำงาน แต่ทั้งนี้มองว่าผลโพลที่ออกมา กำลังอยู่ในแนวทางที่ดีขึ้นถึงแม้ว่าจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่เชื่อว่าคนที่เลือกพรรคเพื่อไทยก็หวังว่าพรรคจะเข้ามาพลิกสถานการณ์ประเทศจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะจากที่ประชาชนเคยลำบากก็อยากให้พรรคเพื่อไทยเข้ามาแก้ปัญหา ซึ่งตรงนี้คือสิ่งที่เพื่อไทยตั้งใจที่จะทำ
แต่อย่างที่เห็นขณะนี้ยังมีเรื่องที่ติดขัดอยู่มากมาย แต่ไม่เป็นไรเราก็มุ่งหน้าที่จะทำงาน ถึงแม้ว่าผลโพลจะออกมาว่ามีความเชื่อมั่นในรัฐบาลมากขึ้น แต่อาจจะอยู่ไม่ครบเทอม ก็ต้องยอมรับ แต่ทั้งนี้ส่วนตัวมองว่ามันมาจากเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น และ ไปแตะในสิ่งที่ไม่ควรแตะ ไปยุ่งในสิ่งที่ไม่ควรยุ่ง หรือไปทำอะไรที่มันเกินเลย แต่รัฐบาลก็พยายามอย่างยิ่งที่จะทำทุกอย่างให้โปร่งใสที่สุด ไม่ให้เกิดรอย เพราะขณะนี้ก็มีคนทยอยออกมาร้องเอาผิดพรรคเพื่อไทย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ
@ เรื่องนี้จะกลายเป็นปัญหากับพรรคร่วมหรือไม่ถ้ายังเดินหน้า ซึ่งจะส่งผลต่อเสถียรภาพรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย
การที่เข้ามาเล่นการเมืองทุกคนต้องวางแผน และมีความพร้อมในการเลือกตั้งตลอดเวลา ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความคิดเห็นไม่ได้ตรงกัน 100 % แต่ทั้งนี้เรามีจุดยืนร่วมกัน ผมมองว่าการที่มีความคิดต่างกันไม่ใช่เรื่องผิด แต่ท้ายที่สุดแล้วเราพูดคุยกันได้ และอาจจะมีการปรับเปลี่ยนอะไรที่ต่างฝ่ายต่างรับได้และสามารถเดินหน้าทำงานร่วมกันได้
@ ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยจะตั้งรับกับคำว่านิติสงครามอย่างไร
พรรคเพื่อไทยยืนอยู่บนความถูกต้อง และความโปร่งใส และความมั่นในต่อการปฏิบัติหน้าที่ที่อยู่ในกรอบ ส่วนตัวมองว่า นิติสงคราม เป็นเพียง วาทะกรรม หนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาใช้หลังจากที่ มีการยุบพรรคก้าวไกล หรือ การถอดถอน นายเศรษฐา ทวีสิน ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือว่าทุกอย่างคือ บทเรียนของพรรคเพื่อไทย และไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอ เราเจอมาโดยตลอด แต่พรรคเพื่อไทยยืนอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงมากกว่า ว่า เรามีความบริสุทธิ์ใจอย่างไรก็ต่อสู้กันไป
@พรรคเพื่อไทยมีแผนรองรับหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองหรือไม่ เพราะถ้าเกิดปัญหา เก้าอี้นายกฯ อาจจะตกไปอยู่ที่พรรคภูมิใจไทย ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล อยู่ในบัญชีแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี
สำหรับแผนสำรองนั้น ไม่มีแน่นอน อย่างกรณีของนายเศรษฐา เราก็ไม่มีแผนรับมือ เพราะเราเชื่อว่า รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยทำทุกอย่างบนพื้นฐานของความจริงใจและความตั้งใจจริง ว่าเราบริสุทธิ์ใจที่จะทำ ส่วนจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปจนถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้น ส่วนตัวมองว่าเรื่องนี้ยังไกลตัวเกินไป แต่ทั้งนี้ยังมีอีกหลายทางเลือกที่จะทำได้ แต่เมื่อเรื่องยังไม่เกิด ก็ไม่อยากคิดว่าจะไปถึงขั้นไหน อย่างไร แต่ทั้งนี้ ยังมั่นใจว่ารัฐบาลไม่ได้ทำอะไรผิด และ สิ่งต่างๆตามข้อร้องเรียนที่เกิดขึ้นนั้น เรามั่นใจว่าเราไม่ผิด