เมื่อวันที่ 1 พ.ย. ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ “บอสพอล” เดินทางเข้าให้การเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน เกี่ยวกับกรณีไฟล์เสียง ของ “นักร้อง ก.” ที่ได้ยื่นหลักฐานให้พนักงานสอบสวนไปแล้วก่อนหน้านี้
โดย นายวิฑูรย์ เปิดเผยว่า วันนี้มาดำเนินการเกี่ยวกับนักร้องสาวให้เสร็จสิ้น หลังจากที่ค้างคามานาน โดยวันนี้เป็นการเดินทางมาให้การเพิ่มเติม หลังจากที่ส่งคลิปเสียงให้กับทางเจ้าหน้าที่ไปแล้ว โดยในวันนี้ตนจะให้การตามไฟล์เสียงว่าบุคคลในคลิปเสียงหมายถึงใคร และเข้าข้อหาอะไร ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยจะต้องไปถามบอสพอล กับน.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร หรือบอสปัน ในเรือนจำ ซึ่งหลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าไปสอบพยานในเรือนจำต่อ
โดยในวันนี้คาดว่ามีทีมทนายอีกชุดหนึ่งที่ได้รับมอบอำนาจ จะเข้าแจ้งความเอาผิดนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ในข้อหาพ.ร.บ.คอมพ์ เนื่องจากนายเอกภพมีการโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก และพยานเท็จที่นำมาให้การกับตำรวจในข้อหาหมิ่นประมาท ซึ่งขณะนี้ตนเองทราบชื่อของพยานที่นายเอกภพพามาแล้ว โดยเป็นการสืบหาเอง ไม่ได้รู้จักพยานเท็จคนดังกล่าวแต่อย่างใด และพบว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป ส่วนจะเกี่ยวข้องอย่างไรกับนายเอกภพหรือไม่นั้น ตนเองไม่ทราบ ในส่วนที่แม่ของบอสพอลเป็นผู้ถือหุ้นในดิไอคอน กรุ๊ป แต่ไม่โดนคดีอะไรนั้น นายวิฑูรย์ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวเป็นคนละเรื่องกัน เป็นเพียงคนถือหุ้น ไม่มีความผิด
ส่วนกรณีที่ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานมูลนิธิชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม อ้างว่ามีตำรวจกองปราบปรามเรียกรับเงินจำนวน 9 ล้านบาท จากนายจิระวัฒน์ แสงภักดี หรือโค้ชแล็ปนั้น ไม่เป็นความจริง เนื่องจากตนได้ถามโค้ชแล็ปแล้ว ยืนยันว่าไม่มีตำรวจคนใดมาเรียกรับผลประโยชน์ รวมถึงทนายความและภรรยาของโค้ชแล็ปก็ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริงด้วยเช่นกัน และขออย่าให้ไปพูดแบบนั้นเพราะทางตำรวจจะเสียหาย
ทั้งนี้ในสัปดาห์หน้าตนยังไม่แน่ใจที่จะทำการยื่นประกันตัวกลุ่มบอสของดิไอคอน ส่วนกรณีที่เพจเฟซบุ๊กของดิไอคอนกรุ๊ป โพสต์ว่า จะปิดตึกใหญ่ในโครงการนั้น นายวิฑูรย์ ระบุว่า จริง โดยเป็นการปิดตึกสำนักงานใหญ่ ให้ไปใช้พื้นที่ของไอคอน เฮ้าส์ คาเฟ่แทน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย เช่น ค่าไฟ เนื่องจากขณะนี้บัญชีของบริษัทถูกอายัดและอยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งส่วนตัวก็ยังกังวลเรื่องการจ่ายเงินให้กับผู้ที่ร่วมทำธุรกิจเช่นกัน โดยยืนยันว่าการปิดสำนักงานใหญ่ไม่กระทบกับการดำเนินกิจการ ขณะนี้โรงงานยังคงผลิตสินค้าเพื่อส่งให้ลูกค้าตามออร์เดอร์ และเชื่อว่าไม่ได้กระทบภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของบริษัท
ส่วนผู้เสียหายที่จะเข้ามาลงทะเบียนขอรับการเยียวยากับบริษัทนั้น นายวิฑูรย์ ระบุว่า ขณะนี้ขอปิดการลงทะเบียนชั่วคราว เพื่อตรวจสอบก่อนว่ารายชื่อที่ลงมาเบียน ใครบ้างที่เป็นผู้เสียหายที่แท้จริง.