นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี  และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า  ในการประชุมคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) ครั้งที่ 3/2567 ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เร่งผลักดันการจัดทำแนวทางการดำเนินการสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ให้กับหน่วยงานของรัฐ สำหรับการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลไม่ให้เกิดการรั่วไหล เพื่อออกแนวทางป้องกันเหตุรั่วไหล  การกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย การตรวจสอบและประเมินผลความปลอดภัยระบบอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงบริษัทที่รับงานจากภาครัฐ ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ไซเบอร์และกฎหมาย พีดีพีเอ อย่างเคร่งครัด

“ได้สั่งการเพื่อผลักดันแนวทางการดำเนินการสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ให้กับหน่วยงานของรัฐ สำหรับการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลไม่ให้เกิดการรั่วไหล โดยให้ สกมช. ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปสร้างความเสียหายให้กับพี่น้องประชาชนในวงกว้าง อาทิ การหลอกลวงประชาชนเรื่องเงินบำนาญ และการแจ้งรับเงินคืนค่าประกันมิเตอร์ และเรื่องอื่นๆ ให้มีมาตรการป้องกันด้านความปลอดภัยของข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”

นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังให้หามาตรการในการกำกับดูแลแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ที่เข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ที่จะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน นอกจากนี้การอบรมบุคลากรและผู้พัฒนาเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์และภัยคุกคาม และให้นำหลัก คลาวด์ ซีเคียวริตี้ สแตนดาร์ด และนโยบาย คลาวด์ เฟิร์ส โพลีซี มาใช้เพื่อเสริมความมั่นคงปลอดภัย

“ถือเป็นเรื่องสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดแนวทางป้องกันเหตุรั่วไหลในอนาคตระหว่างกับหน่วยงานต่าง ๆ เพราะปัญหาด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่หากต้องใช้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และให้ดำเนินการไปสู่กิจกรรมการปฏิบัติต่าง ๆ นำมาซึ่งการพัฒนาด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป”