นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ“Thailand 2025: Opportunities, Challenges and the  Future” ว่า เศรษฐกิจไทยขยายตัวค่อนข้างต่ำมาเป็นระยะเวลานานมากกว่า 10 ปี เห็นได้จากตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีที่ผ่านมาขยายตัวได้ 1.9% ขณะที่ปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้2.7% บวกลบ ทั้งที่เดิมคิดว่ามันควรจะมากกว่านี้ แต่มีน้ำท่วมเข้ามาแทรก ส่วนปี 68 หากอยู่บนพื้นฐานที่เห็น การขยายตัวน่าจะได้ถึง 3% 

 “ผมคิดว่า 3% มันเหมือนกับการอยู่ไปแบบไม่ได้มองว่าไทยมีศักยภาพอะไรบ้าง มีโอกาสอะไรบ้าง เราก็ยอมรับได้ แต่ก็คิดว่า มันควรจะขึ้นไปได้มากกว่านี้ แต่เราอาจจะมองลึกไปถึงตอนที่ขยายตัวได้ถึง 5% เศรษฐกิจมันโตมาในระดับหนึ่ง อาจจะเห็นว่าเรียลจีดีพีที่ 3.5% ส่วนอัตราเงินเฟ้อของไทย มองว่าควรอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยค่าเงินเฟ้อของไทยอย่างต่ำควรอยู่ที่ 2%”

ทั้งนี้ เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำมาอย่างยาวนาน ก่อนจะมองโอกาสและความท้าทาย ต้องมองดูรอบๆ ว่าวันนี้เราอยู่ในสภาพอะไร และต้องแก้สภาพที่มีปัญหาอยู่ มองเงื่อนไขที่จะเดินไปข้างหน้า มีความพร้อมไหมที่จะเดินไป ถึงจะเรียกว่ามีความท้าทาย  โดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทย เคยอยู่ที่ประมาณ 70-80% ต่อจีดีพี ขณะที่ปัจจุบันขึ้นมา 90% กว่าต่อจีดีพี และปรับลดลงมาเหลือ 89% โดยตัวเลขที่ลดลงไม่ได้เป็นผลจากหนี้ครัวเรือนปรับตัวดีขึ้นหรือลดลง แต่เพราะจีดีพีขยายตัวขึ้นเล็กน้อย ประกอบกับสถาบันการเงินชะลอการปล่อยสินเชื่อทั้งประชาชนและภาคเอสเอ็มอี สะท้อนว่า คนที่เป็นกำลังซื้อ ของประเทศกำลังหนี้ท่วม 

นายพิชัยกล่าวว่า ขณะที่หนี้สาธารณะของรัฐบาลปัจจุบันอยู่ที่ 65-66% โดยรัฐบาลพยายามรักษาวินัยการเงินการคลังเพื่อไม่ให้หนี้สูงเกินไป โดยตั้งกรอบไว้ที่ 70% ต่อจีดีพี ซึ่งไม่ควรจะมีหนี้เกิน 14 ล้านล้านบาท ซึ่งปัจจุบันหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 12 ล้านล้านบาทกว่าๆ ดังนั้นจึงเหลือช่องแค่ 1 ล้านล้านบาทเศษเท่านั้น ก็จะเต็มเพดาน จึงจำเป็นต้องบริหารจัดการให้เหมาะสม ตามข้อจำกัดที่มี

ส่วนนโยบายการเงินของไทย อัตราดอกเบี้ยของไทยอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยก่อนหน้านี้อยู่ที่ 2.5% เป็นระยะเวลานาน แต่ก็มีคนเรียกร้องให้ต่ำอีกโดยเฉพาะคนที่มีหนี้เยอะก็อยากเห็นอัตราดอกเบี้ยต่ำ คนให้เงินให้สินเชื่อก็อยากจะได้ดอกเบี้ยสูง ดังนั้นสภาพคล่องจึงหายไปจากตลาด และเป็นปัญหาที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ 

“อย่างไรก็ตาม ปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อไม่ได้ ไม่ได้เป็นเพราะไม่มีสภาพคล่อง เราเป็นประเทศที่ก่อนต้มยำกุ้งเราขาดสภาพคล่อง จนกระทั่งหลังต้มยำกุ้ง เรามีสภาพคล่องเหลือ แต่การลงทุนของไทยก็มีการลงทุนน้อย เราจึงตกอยู่ในฐานะที่เรียกว่า เป็นเศรษฐี แต่ไม่มีอนาคต เนื่องจากไทยมีการลงทุนต่ำ ซึ่งแตกต่างจากหลาย 10 ปีที่ผ่านมานายพิชัย กล่าว  

 สำหรับปัญหาหนี้ครัวเรือนนั้น เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบแก้ไข โดยจะต้องปรับโครงสร้างหนี้ให้กับครัวเรือน อย่างน้อยหนี้ไม่ลด แต่ภาระลด โดยหนี้เท่าเดิม หรือลดลงนิดนึง แต่ภาระการจ่ายลดลง มีโอกาสที่จะจ่ายยาวขึ้น ดอกเบี้ยน้อยลง เช่นเดียวกับที่ธนาคารออมสินดำเนินการมา จึงควรใช้จังหวะที่สถานบันการเงินเราแข็งแรงเข้าช่วย 

รมว.คลัง ยังกล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา ได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทย เพื่อดำเนินโครงการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับภาคครัวเรือน โดยเฉพาะรถกระบะ และอสังหาริมทรัพย์ โดยคาดว่าจะได้ความชัดเจนเร็วๆนี้ เพื่อให้ประชาชนอยู่ได้ ขณะที่สถาบันการเงินก็จะมีโอกาสปล่อยสินเชื่อใหม่เข้าไปในระบบมากขึ้น 

ส่วนการลงทุนของนักลงทุนต่างชาตินั้น ปัจจุบันแม้จะมีความสนใจเข้ามาจำนวน แต่ต่างชาติที่ต้องการลงทุน ต้องการการลงทุนระยะยาว   การลงทุนสมัยใหม่ หลายแสนล้านบาท ซึ่งอยากปักหลักอยู่กับไทยที่มีสัญญาเช่าที่ดินนาน เช่น 99 ปี หากไม่มีสัญญาณให้เช่านานขนาดนี้ โอกาสที่จะทำให้การลงทุนนั้นยากขึ้น 

“99 ปี คือ ในต่างประเทศ เขาเปิดโอกาสให้ต่างชาติใครอยากซื้อที่ดินก็ซื้อได้เลยส่วนการเช่า ถ้าจะเอาที่เช่าไปขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินก็ค่อนข้างยาก จึงเป็นที่มาของการเช่ายาว เพื่อมีสิทธิ์ในที่ เช่น ทรัพย์อิงสิทธิ์ ที่จะนำไปขอกู้กับสถาบันการเงินได้แสดงว่ามีสิทธิในการใช้ ไปแบงก์กู้ได้ อย่ามองว่าทรัพย์พวกนี้จะตกไปที่ต่างชาติอย่างที่ดินของรัฐที่เยอะนั้น ก็เอามาสร้างที่อยู่อาศัยให้ผู้มีรายได้น้อย แล้วก็ให้เช่าในราคาถูกระยะเวลานาน เพื่อเป็นการเสริมการลงทุนเข้ามาในประเทศ“

ขณะเดียวกัน จะนำที่ดินของกรมธนารักษ์ หรือที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่เป็นของรัฐ ซึ่งไม่ได้ใช้ประโยชน์มานาน จะนำมาใช้ในหลักการทรัพย์อิงสิทธิ์ โดยจะนำมาจัดสรรให้เป็นที่พักอาศัยสำหรับคนรายได้น้อย 99 ปี ในราคาประมาณ 70% ของที่ควรเป็น ก็เป็นโอกาสที่ดีของคนรายได้น้อยที่จะมีที่อยู่บนทรัพย์สิน บนสัญญา99 ปี 

คนรายได้น้อยต้องการอาศัยในตัวเมือง เช่น สีสม สุขุมวิท พระราม 4 เพราะคนรายได้น้อยต้องการเดินทางถึงที่ทำงานเร็วที่สุด เพื่อใช้แรงงาน ไม่สามารถอยูาข้างนอกและเสียค่ารถวันละ 300 บาทได้ ฉะนั้น จึงเป็นความจำเป็นของทุกประเทศที่คนรายได้น้อยต้องอยู่ในเมืองได้