กระแสคดี “ดิไอคอนกรุ๊ป” ฉาวธุรกิจขายตรงเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ ที่ไปดึงดาราแถวหน้าสวมบทละครเป็น “บอส” สร้างความน่าเชื่อถือ จนมีคนหลงเชื่อมีผู้เสียหายขยายวงไปเป็นไฟลามทุ่ง นอกจากมีผู้เสียหายในประเทศแล้วยังมีผู้เสียหายกระจายอยู่ต่างประเทศ นับ 10 ประเทศ มูลค่าเสียหายความ 20 ล้านบาท ซึ่งผู้เสียหายได้ส่งตัวแทนมาแจ้งความเอาผิด “ผู้บริหาร ดิไอคอน” แล้ว

ยอดรวมสะสม ณ วันที่ 24 ตุลาคม มีผู้เสียหายที่เข้าให้ปากคำกับศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ใน “คดีดิไอคอน” จากศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั่วประเทศ เกือบ 10,000 ราย มูลค่าความเสียหายพุ่ง 2,000 กว่า ล้านบาท ถือเป็นคดีใหญ่เขย่าไปหลายวงการทั้ง นักการเมือง ตำรวจ หน่วยงานราชการ ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง

คดี “ดิไอคอน” สะท้อนภาพวงสังคมไทย ดิ้นหนีปลักความจน โหยหาความร่ำรวย ถือเงินเป็นที่ตั้ง เปิดช่องมิจฉาชีพทำมาหากิน เกิดนักร้อง นักตบทรัพย์เกลื่อนเมือง เดินให้วอนทั้งในสภา-ทำเนียบรัฐบาลกันเยอะแยะ เป็นเหลือบไรของเป็นสังคมที่ต้องเร่งจัดการ

ส่วนรัฐบาล “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กระแสแรงไม่ตกโดยเฉพาะปัญหาคดีตากใบจะเป็นคดีสุมไฟร้อนปลุกให้ไฟใต้ลุกโชนเกิดความรุนแรงขึ้นมาอีกครั้งหรือไม่ เพราะปล่อยให้ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาค 4  อดีตสส. บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย  ผู้ต้องหาในคดีตากใบหนีคดีไปต่างประเทศจนคดีหมดอายุความ แม่พล.อ.พิศาล จะถูกบีบจนต้องลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ไปแล้ว

แต่พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำรัฐบาล จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ในการเดินหน้าสร้างหลักนิติรัฐ นิติธรรมให้เกิดความเสมอภาค ซึ่งก่อนหน้านี้มีการหยิบยกประเด็นการยืดอายุความ โดยจะออกเป็นพ.ร.ก.ต่ออายุความ ขึ้นมาโยนหินถามทางแต่ก็ถูกมองว่า เป็นได้แค่ลิงหลอกเจ้า ละครการเมือง เพราะช่องทางทางกฎหมายไม่สามารถทำได้อยู่แล้ว ล่าสุด นายกฯอิ๊งค์” ได้ออกมาแสดงความเสียใจ แต่ก็ไม่ได้ลดบาดแผลที่ฝังใจลงไป

แต่ทั้งหมดก็มีเรื่องการเมืองเข้าไปผสมโรง ถ้าไม่หยุดเล่นการเมืองในความเดือดร้อนของประชาชน ก็เป็นช่องว่างให้ผู้ไม่หวังดีมือที่ 3 ออกมาป่วนจนกระทบความมั่นคง ถือเป็นโจทย์ใหญ่ของ “พรรคเพื่อไทย” ที่ต้องหามาตรการออกมาปิดแผลตัวเอง เพื่อสร้างมาตรฐานความยุติธรรม สร้างความสงบให้เกิดขึ้นให้ได้

ดูจากสถิติคดีความรุนแรงขณะนี้มีถี่ขึ้น แต่ พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาค 4 ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษา และเสนอแนวทางการส่งเสริมกระบวนการสร้างสันติภาพ เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่สอบถามถึงการเตรียมการหลังคดีหมดอายุความวันที่ 25 ตุลาคม ว่า  เคลื่อนไหวของฝ่าย BRN ที่ผ่านมาขบวนการบอกว่าได้มีการสร้างสถานการณ์ และหล่อเลี้ยงสถานการณ์กันไว้แล้ว ที่เหลือเป็นการขับเคลื่อนของมวลชน และประชาชนในพื้นที่ แต่ภาพรวมสถานการณ์จนถึงขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณอะไรที่น่าวิตกกังวล แต่เป็นห่วงมือที่ 3 ที่จะมาสวมรอยเข้ามาสร้างสถานการณ์

การรายงานภาครัฐดูเหมือนจะสวนทางกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ เพราะฉะนั้นการที่จะพูดอะไรก็ขอให้เกรงใจประชาชนด้วย เพราะเกรงว่าเรื่องนี้จะเป็นการไปปลุกไฟใต้ให้กลับมาเกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้กลับเข้าไปสู่ในเดตโซนอีกครั้ง

มาจับชีพจร “รัฐบาลแพทองธาร” ก็อยู่ระหว่างเดตโซนเช่นกัน  ต้องสร้างภาพเป็นรัฐบาลการละครโชว์สมานฉันท์ นัดพรรคร่วมรัฐบาลรับประทานอาหารค่ำ ไปเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ที่โรงแรมโรสวูด ถนนเพลินจิต กรุงเทพฯถือเป็นครั้งแรกของ “รัฐบาลแพทองธาร” หลังเกิดการขบเหลี่ยมปีนเกลียวให้เห็นอยู่เนื่องๆ

จนใครๆตั้งคำถามว่า ระหว่าง “พรรคเพื่อไทย” หรือ “พรรคภูมิใจไทย” ใครกันแน่ที่เป็นพรรคแกนนำ

ดูได้ว่าจากเรื่อง ผลโหวตรายงาน กมธ.นิรโทษฯ  ของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาศึกษาแนวทางการตราพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งมี “ชูศักดิ์ ศิรินิล” รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ถูกสภาตีตกไป มติ 269 ต่อ 151 เสียง โหวตคว่ำไม่รับข้อสังเกตรายงานนิรโทษกรรม สส.เพื่อไทย 115 คนแหกมติพรรคที่ให้รับรองรายงาน มีลงเห็นชอบแค่ 11 คน ดับฝันออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้นักโทษคดี

งานนี้ทำให้เห็นว่าพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเองไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะเรื่องประเด็น มาตรา112 ทั้งพรรคภูมิใจไทย พรรคร่วมไทยสร้างชาติ และพรรคชาติไทยพัฒนา ยืนยันในจุดเดิมตั้งแต่แรกไม่แก้มาตรา 112

จนถูกฝ่ายค้านมองว่า รัฐบาลขาดเอกภาพ ตอกย้ำให้เห็นชัดขึ้นถึงการเดินเกมของรัฐบาลฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่ยังจับมือกันเหนียวแน่น และพรรคเพื่อไทยเองก็ไม่กล้าแหวกม่านประเพณีออกมาจับมือกับพรรคประชาชน ทั้งๆที่มติพรรคก็เห็นว่าควรโหวตให้แต่สุดท้ายก็ไม่กล้า ไม่เช่นนั้นเกมการเมืองจะเปลี่ยนพรรคเพื่อไทยก็จะถูกผลักให้ไปอยู่กับพรรคประชาชนที่ต้องการให้นำไปสู่การแก้มาตรา 112

ซึ่งหัวเด็ดตีนขาดพรรคร่วมรัฐบาลไม่เห็นด้วย กับมาตรา 112 ถ้าเผลอไปยกมือให้ โอกาสถูกร้องให้ยุบพรรค กรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิ์ เหมือนอดีตพรรคก้าวไกลที่โดนกันไปแล้ว จึงไม่ยกมือโหวดในประเด็นนี้

นอกจากนี้ “พรรคเพื่อไทย” ยังมีเดตโซนรออยู่ข้างหน้า  ทั้งกรณีที่ “ธีรยุทธ สุวรรณเกสร” ผู้ร้องในฐานะประชาชน หอบหลักฐานเอกสารทั้งสิ้น 5,080 แผ่น ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย หยุดติการกระทำในการใช้สิทธิ ที่เป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระมหากษัตริย์ ใน 6 กรณี

ล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญ ส่งหนังสือขอให้อัยการสูงสุดส่งพยานหลักฐานที่รวมรวบไว้แล้วให้ศาลรัฐธรรมนูญใน 15 วันเพื่อนำมาพิจารณาว่าจะรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาหรือไม่ เนื่องจากนายธีรยุทธได้ส่งเรื่องนี้ให้อัยการสูงสุดดำเนินการก่อนแล้วทางอัยการ

นอกจากนี้ยังมีคำร้องขอให้ กกต. พิจารณาสั่งยุบพรรคเพื่อไทย (พท.)และ 6 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม จากเหตุนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรค กระทำการครอบงำ ชี้นำ และ 6 พรรคการเมืองยินยอมให้นายทักษิณครอบงำ ชี้นำ ที่กกต.เห็นว่ามีมูลสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน เพื่อดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง

ทั้ง 2 กรณีถือได้ว่าถึงกลายเป็นนิติสงครามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงต้องจับตาดูว่า “รัฐบาลนายฯอิ๊งค์” จะฝ่าบ่วงกรรมพลิกเกมต่อรองไปได้หรือไม่เพราะโอกาสจะล่วงตกบัลลังก์เหมือนนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี มีความเป็นไปได้สูง โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ค่ายเซาะกราวรอเสียบอยู่

ถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ของรัฐบาล โอกาสบัลลังก์ตึกไทยคู่ฟ้าจะกระเด็นไปถึง “เสี่ยหนู” ผู้ทรงอำนาจก็เป็นไปได้สูง

ตรงกับ คำทำนายของโหรชื่อดัง โสรัจจะ นวลอยู่” ที่ออกมาบอกว่า“การเมืองปีหน้าจะร้อนแรง เมื่อดูที่ดวงคนด้วยนั้นก็น่าเป็นห่วง แต่ละคนเหมือนมีอะไรอยู่ข้างหลัง เหมือนคนไม่ค่อยแข็งแรง เดินกระเผลกๆ แต่ค่อยๆ เดิน คนเลยไม่ค่อยเห็น หรือเซไปเซมาระยะหนึ่ง แล้วจะไปทะเลาะกันต้นปีแบบน่าเป็นห่วง อาจจะใช้กำลังคนที่มีอยู่มาสู้กัน”

ทั้งหมดนี้สิ่งที่จะช่วยส่งให้ “นายกฯอิ๊งค์”อยู่บนบัลลังก์ต่อได้ และสามารถเป็นเกราะคุ้มกันได้อย่างดี ก็คือ รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาปากท้อง ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวโดยเร็ว และเห็นเป็นรูปธรรม ถ้าประชาชนอยู่ดีกินดีอะไรก็ทำร้าย “นายกฯแพทองธาร”ไม่ได้.