สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงไทเป สาธารณรัฐจีน เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ว่า หลังสหรัฐคว่ำบาตรบริษัทหัวเว่ย เมื่อปี 2562 และขยายมาตรการคว่ำบาตรอีกในปีถัดมา เนื่องจากเกรงกลัวว่าเทคโนโลยีของบริษัท อาจถูกนำไปใช้ในปฏิบัติการของรัฐบาลปักกิ่ง แม้หัวเว่ยจะปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว

ข้อจำกัดนี้ ทำให้เอสเอ็มซีไม่สามารถขายสินค้าให้กับหัวเว่ยได้ แต่เมื่อวันที่ 11 ต.ค. ที่ผ่านมา ทีเอสเอ็มซีพบว่า ชิปที่ผลิตขึ้นสำหรับ “ลูกค้ารายหนึ่ง” ตกไปอยู่ในมือของบริษัทจากแผ่นดินใหญ่เจ้านี้

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทีเอสเอ็มซีชี้แจงว่า บริษัทปฏิบัติตามกฎหมาย และไม่ได้จัดหาสินค้าให้กับหัวเว่ยมาตั้งแต่กลางเดือน ก.ย. 2563 ตามมาตรการควบคุมการส่งออก ทั้งนี้ บริษัทได้ติดต่อกับกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังไม่มีการสอบสวนใด ๆ เกิดขึ้น

แถลงการณ์ของกระทรวงเศรษฐกิจของไต้หวันระบุว่า ได้รับแจ้งจากทีเอสเอ็มซีถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่ได้ระบุชื่อของลูกค้า โดยเชื่อว่า อาจมีการติดต่อและความร่วมมือทางสัญญากันอยู่แล้ว เนื่องจากหัวเว่ยถือเป็นลูกค้าเก่า

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา บริษัทวิจัยเทคอินไซด์สของแคนาดา พบโปรเซสเซอร์ขั้นสูงที่ผลิตโดยทีเอสเอ็มซีภายในชิปปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) รุ่นล่าสุดของหัวเว่ย อย่างไรก็ตาม หัวเว่ยชี้แจงกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า พวกเขาไม่ได้ผลิตชิปใด ๆ ผ่านทีเอสเอ็มซี หลังมาตรการคว่ำบาตร เมื่อปี 2563

ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดข้อถกเถียง เกี่ยวกับความพยายามของสหรัฐ ในการขัดขวางความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีนว่ามีประสิทธิผลหรือไม่.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES