ปี 2567 นับเป็นปีที่โลกเผชิญหน้ากับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่รุนแรงและผิดปกติอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพายุต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกบ่อยครั้งและรุนแรงกว่าที่เคยเป็นมา เหตุการณ์พายุที่เกิดขึ้นในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนเป็นวงกว้าง เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากวิกฤตโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น อุณหภูมิของน้ำทะเลเพิ่มขึ้น และรูปแบบของลมมรสุมเปลี่ยนแปลงไป ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้พายุมีพลังงานมากขึ้นและก่อตัวได้บ่อยครั้งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นยังทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงเมื่อพายุเข้า ซึ่งสร้างความเสียหายต่อพื้นที่ชายฝั่งมากยิ่งขึ้น

‘ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์’ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเล ได้วิเคราะห์ปรากฏการณ์พายุในปัจจุบันอย่างละเอียด และได้สรุปประเด็นสำคัญ 6 ข้อ เพื่อให้สังคมตระหนักถึงสถานการณ์และเตรียมพร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต ดังนี้

1. ปรากฏการณ์พายุหมุนเขตร้อนที่เกิดขึ้นในทะเลนั้น มีสาเหตุหลักมาจากพลังงานความร้อนที่ผิวหน้าน้ำทะเล ซึ่งในยุคที่โลกเผชิญภาวะโลกร้อน ความร้อนส่วนใหญ่จากก๊าซเรือนกระจกถูกดูดซับโดยมหาสมุทร ทำให้อุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปีติดต่อกัน และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นต่อไปอีกในระยะยาว ผลกระทบที่ตามมาคือความผิดปกติของพายุที่รุนแรงและถี่ขึ้น ซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในระยะเวลาอันใกล้ ดังนั้น การเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตในอนาคต

2. แม้ว่าพายุแต่ละลูกจะไม่ได้มีความรุนแรงมากที่สุดในระดับโลก แต่สถิติในแต่ละพื้นที่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ชัดเจนว่าพายุมีความรุนแรงมากขึ้น เช่น พายุ Yagi เป็นพายุที่รุนแรงที่สุดที่เคยพัดเข้าสู่เกาะไห่หนาน และพายุ Helene ก็เป็นพายุที่รุนแรงที่สุดที่เคยพัดเข้าสู่พื้นที่บริเวณนั้นของรัฐฟลอริดา ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นของพายุส่งผลให้บริเวณที่ได้รับผลกระทบขยายออกไปจากชายฝั่งเข้าสู่แผ่นดินมากขึ้น ตัวอย่างเช่น พายุ Helene ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภายในของสหรัฐอเมริกาที่อยู่ห่างจากชายฝั่งหลายร้อยกิโลเมตร ซึ่งแตกต่างจากเหตุการณ์ในอดีตที่ภัยพิบัติจากพายุมักจำกัดอยู่เพียงบริเวณชายฝั่งเท่านั้น นอกจากนี้ ยังพบว่าอิทธิพลของพายุ Yagi ได้แผ่ขยายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เมียนมาร์ และไทย ส่งผลกระทบรุนแรงต่อพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง

3. อีกหนึ่งลักษณะเด่นของพายุในปัจจุบันคือความเร็วในการพัฒนาที่รวดเร็วขึ้น พายุหลายลูกในปีนี้ใช้เวลาเพียงระยะเวลาอันสั้นในการพัฒนาจากพายุหมุนเขตร้อนกลายเป็นพายุที่มีความรุนแรงสูงสุด เช่น พายุ Yagi ที่ใช้เวลาเพียง 2 วันในการพัฒนาเป็นซูเปอร์ไต้ฝุ่น ทำให้การเตรียมการรับมือเป็นไปอย่างยากลำบากและอาจไม่ทันต่อสถานการณ์ ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์พายุ Otis ในปี 2566 ที่พัฒนาจากพายุโซนร้อนเป็นซูเปอร์เฮอริเคนและพัดเข้าสู่ประเทศเม็กซิโกภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง เหตุการณ์ลักษณะนี้คาดว่าจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งยิ่งขึ้นในอนาคต ดังนั้น การปรับปรุงระบบเตือนภัยและการให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงจึงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วน

4. พายุหมุนเขตร้อนมีแนวโน้มขยายขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากขึ้น ตัวอย่างเช่น เฮอริเคน Helene ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 675 กิโลเมตร ถือเป็นพายุขนาดใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี แม้ขนาดของพายุจะไม่สัมพันธ์โดยตรงกับความเร็วลม แต่พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจะเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป ผลกระทบจะไม่จำกัดเฉพาะบริเวณที่พายุเคลื่อนตัวเข้าสู่ฝั่ง แต่จะขยายออกไปครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งในวงกว้าง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย เนื่องจากพายุไต้ฝุ่นที่เคลื่อนตัวเข้าสู่ภูมิภาคนี้จะมีพื้นที่ครอบคลุมที่เพิ่มขึ้น

5. พายุหมุนเขตร้อนบางลูกแสดงพฤติกรรมที่ผิดปกติ โดยสามารถฟื้นตัวและเสริมกำลังได้ใหม่หลังจากเคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่น้ำอุ่น เช่น กรณีของเฮอริเคน John ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “Zombie Hurricane” ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความเสียหายซ้ำซ้อนในพื้นที่เดียวกัน และยังส่งผลกระทบต่อพื้นที่ใกล้เคียงในวงกว้าง พายุไต้ฝุ่นในทะเลจีนตะวันออกและทะเลญี่ปุ่นก็มีรายงานการเกิดปรากฏการณ์ที่คล้ายคลึงกัน

และ 6. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ปริมาณน้ำฝนที่เกิดจากพายุหมุนเขตร้อนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้นส่งผลให้เกิดการระเหยของน้ำมากขึ้น และอากาศที่ร้อนขึ้นสามารถอุ้มน้ำได้มากขึ้น ทำให้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่แคบ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาน้ำท่วมฉับพลัน ดินโคลนถล่ม และภัยพิบัติอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับน้ำ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการบันทึกปริมาณน้ำฝนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในหลายพื้นที่ทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากพายุหมุนเขตร้อน แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากพายุไต้ฝุ่น แต่ภัยพิบัติที่เกิดจากฝนตกหนักก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน

นอกจากนี้ ผศ.ดร.ธรณ์ยังกล่าวว่า ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนต่อความรุนแรงของพายุในปัจจุบันเป็นที่น่าจับตามอง แม้จำนวนพายุโดยรวมอาจไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ความผิดปกติของพายุกลับทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากอุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้นอย่างผิดปกติ ซึ่งเป็นผลมาจากการสะสมของความร้อนจากก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ

สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงและบ่อยครั้งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชายฝั่งและบริเวณที่ตั้งอยู่ในเส้นทางพายุ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นวงกว้าง แม้ว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะเป็นสิ่งจำเป็น แต่ในระยะสั้น การเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

ทั้งนี้ ประชาชนควรตระหนักถึงความเสี่ยงและเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติด้วยตนเอง เช่น การศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่เสี่ยงภัย การวางแผนอพยพ และการเตรียมสิ่งของจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตในภาวะฉุกเฉิน นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมในการสร้างความตระหนักรู้ในชุมชนและการสนับสนุนนโยบายที่ส่งเสริมความพร้อมรับมือภัยพิบัติก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน”

ขอบคุณข้อมูลจาก: Carbon Markets Club