สำนักข่าวซินหัวรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 20 ต.ค. ว่าผลการวิจัยดังกล่าวมาจากรายงานการติดตามการเดินทางในหลายเมืองใหญ่ของจีน ซึ่งเผยแพร่โดยสถาบันวิจัยภายใต้กระทรวงการเคหะและการพัฒนาเมือง-ชนบท ร่วมกับสถาบันการวางแผนและการออกแบบเมืองแห่งประเทศจีน


การศึกครอบคลุมเมืองใหญ่ 45 เมืองของจีนที่มีระบบขนส่งทางราง โดยเผยว่าในบรรดา 22 เมืองที่มีประชากรเกิน 5 ล้านคน กรุงปักกิ่งมีสัดส่วนผู้อยู่อาศัยเดินทางไปทำงานไกลมากที่สุด ซึ่ง 12% เดินทางไกลมากกว่า 50 กิโลเมตร รองลงมาคือเมืองกว่างโจว ในมณฑลกวางตุ้ง อยู่ที่ 10%


หากเป็นการเดินทางแบบเที่ยวเดียว 28% ของประชาชนในกรุงปักกิ่ง ใช้เวลาเดินทางนานกว่า 60 นาที เช่นเดียวกับผู้คนในนครเซี่ยงไฮ้ เมืองฉงชิ่ง เมืองเทียนจิน เมืองอู่ฮั่น และเมืองชิงเต่า ซึ่งอยู่ที่มากกว่า 15%


แม้ใน 42 เมืองกลุ่มสำรวจที่มีบริการรถไฟใต้ดิน จะมีระบบขนส่งทางรางที่เปิดดำเนินการอยู่กว่า 10,000 กิโลเมตร แต่มีผู้คนเพียงหนึ่งในห้าที่อาศัยและทำงานภายในระยะ 800 เมตรจากสถานี ซึ่งการลงทุนก่อสร้างระบบขนส่งทางรางทุก ๆ 430,000 หยวน (ราว 2 ล้านบาท) ทำให้มีผู้คนเพิ่มเข้ามาในรัศมี 800 เมตรนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น

กัวจี้ฝู ผู้อำนวยการสถาบันการขนส่งกรุงปักกิ่ง อธิบายว่าเมืองใหญ่ที่มีสัดส่วนอุตสาหกรรมขั้นตติยภูมิสูงกว่า มักพบว่าการสร้างสมดุลระหว่างที่ตั้งของสถานที่ทำงานกับที่อยู่อาศัย เป็นเรื่องที่ท้าทายมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะแม้เหล่านักวางแผนจะมีภาพในอุดมคติ แต่ความเป็นจริงแล้วสถานที่ทำงานซึ่งอยู่แยกกับที่อยู่อาศัย ยังคงพบได้ทั่วไปในหลายเขตเมือง


กัวเสนอมาตรการต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การเดินทาง เช่น การบูรณาการระบบขนส่งทางรางกับการพัฒนาเมือง การสร้างระบบการเดินทางที่มีประสิทธิภาพ และการสนับสนุนให้นายจ้างจัดหาที่อยู่อาศัยและนำรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นมาใช้.

ข้อมูล : XINHUA

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES