จากกรณีตำรวจตามจับกุม 18 บอสใหญ่ในเครือข่ายดิไอคอนกรุ๊ป พร้อมตามอายัดทรัพย์สินเกี่ยวข้องต่าง ๆ มาตรวจสอบ ทั้งเงินในบัญชีธนาคาร ไปจนถึงรถหรูและนาฬิกาแบรนด์เนม ราคาหลักล้านบาท ตามที่ปรากฏเหตุการณ์ไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 17 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพยานหลักฐานสำคัญที่นำมาสู่การออกหมายจับผู้ต้องหาเครือข่ายดิไอคอนกรุ๊ป ทั้ง 18 ราย ส่วนใหญ่เป็นหลักฐานที่บ่งชี้ได้ว่า ทุกรายเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอย่างชัดเจนและสำเร็จ ครบองค์ประกอบของข้อกฎหมาย โดยเฉพาะพฤติกรรมชักชวนผู้คนให้มาร่วมลงทุนโดยไม่ได้มุ่งเน้นหรือส่งเสริมขายสินค้า และการทำคอนเทนต์โปรโมตสร้างแรงจูงใจดึงดูดคนให้มาร่วมลงทุน

แนวทางสืบสวนยังพบอีกว่า กลุ่มผู้ต้องหาเหล่านี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมสัมมนาเครือข่ายดิไอคอนประจำเดือน โดยแต่ละครั้งจะมีการเรียกเก็บเงินค่าเข้าร่วมงานจากสมาชิกคนละ 1,500 บาท ซึ่งภายงานดังกล่าว จะจัดขึ้นอย่างใหญ่โต หรูหรา อลังการ มีการโปรโมตคอนเทนต์ในลักษณะของผู้ร่วมลงทุนที่ประสบความสำเร็จจากการขายผลิตภัณฑ์สินค้าในเครือดิไอคอนกรุ๊ป เช่น

เดิมทีเป็นชาวนายากจน แต่เมื่อมาเข้าร่วมลงทุนกับดิไอคอนกรุ๊ป ก็มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นจนมีฐานะร่ำรวย และคอนเทนต์ในลักษณะเดียวกันอีกจำนวนมาก เพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนอยากเข้าร่วมลงทุน โดยมีกลุ่มศิลปินดาราเป็นคนคอยพูดโน้มน้าวเสริมความน่าเชื่อถือ รวมไปถึงส่วนแบ่งผลตอบแทนที่กลุ่มบอสศิลปินดาราได้รับจากการจัดงาน พยานหลักฐานเหล่านี้ จึงน้ำหนักเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าพวกเขากระทำผิดจริง และไม่ได้เป็นเพียงพรีเซ็นเตอร์ตามที่กล่าวอ้าง

นอกจากนี้ จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของ นายกันต์ กันตถาวร หรือ “บอสกันต์” พิธีกรชื่อดัง ยังพบว่า มีการถอนเงินออกจากบัญชีธนาคารส่วนตัวจำนวน 1.8 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 ต.ค. ที่ผ่านมา ก่อนหน้าที่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. จะมีคำสั่งอายัดทรัพย์ชั่วคราว 90 วัน เพื่อตรวจสอบ ให้หลังเพียงไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างขยายผลตรวจสอบเพื่อติดตามอายัดทรัพย์สินเหล่านี้

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ต้องหาเครือข่ายดิไอคอนกรุ๊ป ทั้ง 18 คน ที่ถูกจับกุมไปแล้วนั้น เบื้องต้นทราบว่า ยังเป็นเพียงผู้ต้องหากลุ่มแรก ที่เจ้าหน้าที่สืบสวนขยายผลจากพยานหลักฐานหรือคำให้การของผู้เสียหายที่สามารถยืนยันตัวบุคคลที่กระทำผิดได้อย่างชัดเจนเป็นหลัก แต่จากแนวทางสืบสวนยังเชื่อว่า น่าจะมีผู้ที่เกี่ยวข้องรายอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกหลายราย อยู่ระหว่างการขยายผลตรวจสอบเส้นทางการเงินเพื่อหาความเชื่อมโยง โดยเฉพาะกลุ่มคนใกล้ชิด ที่เชื่อว่าน่าจะมีส่วนรู้เห็นหรือได้รับผลประโยชน์จากการกระทำผิดดังกล่าว.